Category: Breaking News

จุดเริ่มต้น…การใส่เงิน 2 หมื่นล้านบาทให้กลุ่ม “J” 1.) JMART จะได้เงินจากการท า PP (Private Placement) ให้ VGI และ U เป็นจ านวน 206 ล้านหุ้น และ 136 ล้านหุ้น รวม 342 ล้านหุ้น ที่ราคา 30.337 บาท คิดเป็นเงินรวม 1.038 หมื่นล้านบาท โดย VGI จะคิดเป็น สัดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 15.0% และ U ที่ 9.9% รวมทั้ง 2 บริษัทจะถือหุ้นคิด เป็นสัดส่วน 24.9% ใน JMART 2.) SINGER ออก PP ให้ U จ านวน 197 ล้านหุ้น โดยจะมี SINGER-W3 ให้ U จ านวน 11.56 ล้านหน่วย อัตรา 1:1 ราคาใช้สิทธิ 36.3 บาท (วอแรนต์อายุปีครึ่ง) และ Right Offering (RO) จ านวน 96 ล้านหุ้น ที่ราคา 36.3 บาทต่อหุ้น จากการเพิ่มทุนรอบนี้จะท าให้ U ถือหุ้น SINGER คิดเป็นสัดส่วน 24.9% (หาก U ใช้สิทธิครบจ านวน) และ JMART จะถือหุ้น SINGER เหลือ 26.5% เราคาด Upside จาก Synergy ระยะยาว… 1.) เมื่อ JMT ได้เงินมาจาก JMART ร่วมๆ 1 หมื่นล้านบาท เราเห็นโอกาส ซื้อหนี้เข้ามาบริหารหนุนการปรับก าไรในปีหน้าขึ้นราว 30% เช่น ความ เป็นไปได้ที่กลุ่ม JMT จะซื้อพอร์ตหนี้ที่มีศักยภาพจากกลุ่ม CITI group ได้ส าเร็จ เหมือนตอนที่ซื้อพอร์ตหนี้จาก HSBC และ Standard Charter 2.) ธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิต ธุรกิจประกันฯ ร่วมกับธนาคาร KBJ ที่เป็น Partner เมื่อรวมข้อมูล Big Data ที่ได้จากกลุ่ม VGI HUMAN ฯลฯ ซึ่งเรา ประเมินว่าจะแถลงแผนงานนี้ในปีหน้า 3.) Fanslink ภายใต้เครือ VGI เป็น ตัวแทนจ าหน่ายทางการของ Brand Xiaomi และเครื่องใช้ไฟฟ้า Haier จะ ช่วยเพิ่มยอดขายทันทีผ่านช่องทางทั้ง Offline หน้าร้าน JMART SINGER และ Online ส่งผ่าน KEX

เจาะดีลหุ้น BTS JMART ใครได้ใครเสีย

มีข่าวใหญ่เมื่อวันก่อนคือดีลระห่าง BTS และ JMART โดย BTS จะส่งลูกรักอย่าง VGI และ U เข้าไปเพิ่มทุนใน JMART SINGER มาดูกันครับว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

มาที่พื้นฐาน งบการเงินของ BTS ไม่ค่อยสวยเท่าไร เพราะรายได้ที่เคยบูมๆจากการรับเหมาสร้างส่วนต่อขยายสายสีเขียวงบจบรายได้ก็หมด และยังได้รับผลกระทบจากภาวะโควิท ทำให้คนขึ้นรถไฟฟ้าน้อยลง โรงแรมของ U ไม่มีนักท่องเที่ยวมาพัก และ VGI แต่ละบริษัทก็ปรับลดงบโฆษณารายได้ก็ไม่เข้า บริษัทลูก KUX ที่เพิ่ง IPO เข้าตลาดรายได้ก็ไม่มาเนื่องจากการแข็งขันสูงเสียฐานลูกค้าไปพอสมควร

ส่วน JMART กำลังเฉิดฉายหลักจากปรับตัวจากขายมือถือมากลุ่มการเงิน ธุรกิจที่ลงทุนไปกำลังออกดอกออกผล ทั้ง JMT ที่ทวงหนี้สุดปัง SINGER ที่ขยายสินเชื่อจำนำทะเบียนโตเอาโตเอา และยังมีโปรเจคการเงินโลกอนาคตจาก Block chain ที่ยังซุ่มๆ ทำอยู่

ธุรกรรมในครั้งนี้ BTS จะกำเงิน 20,000 ล้าน ใส่เงินเพิ่มทุนให้ JMART โดยแบ่งเป็น 1.) JMART จะได้เงินจากการท า PP (Private Placement) ให้ VGI และ U เป็นจ านวน 206 ล้านหุ้น และ 136 ล้านหุ้น รวม 342 ล้านหุ้น ที่ราคา 30.337 บาท คิดเป็นเงินรวม 1.038 หมื่นล้านบาท โดย VGI จะคิดเป็น สัดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 15.0% และ U ที่ 9.9% รวมทั้ง 2 บริษัทจะถือหุ้นคิด เป็นสัดส่วน 24.9% ใน JMART 2.) SINGER ออก PP ให้ U จ านวน 197 ล้านหุ้น โดยจะมี SINGER-W3 ให้ U จ านวน 11.56 ล้านหน่วย อัตรา 1:1 ราคาใช้สิทธิ 36.3 บาท (วอแรนต์อายุปีครึ่ง) และ Right Offering (RO) จ านวน 96 ล้านหุ้น ที่ราคา 36.3 บาทต่อหุ้น จากการเพิ่มทุนรอบนี้จะท าให้ U ถือหุ้น SINGER คิดเป็นสัดส่วน 24.9% (หาก U ใช้สิทธิครบจ านวน) และ JMART จะถือหุ้น SINGER เหลือ 26.5%

แล้วดีลนี้มีอะไรน่าสนใจ

จากบทวิเคราะห์ของหลักทรัพย์บัวหลวงคาด Upside จาก Synergy ระยะยาว… 1.) เมื่อ JMT ได้เงินมาจาก JMART ร่วมๆ 1 หมื่นล้านบาท เราเห็นโอกาส ซื้อหนี้เข้ามาบริหารหนุนการปรับก าไรในปีหน้าขึ้นราว 30% เช่น ความ เป็นไปได้ที่กลุ่ม JMT จะซื้อพอร์ตหนี้ที่มีศักยภาพจากกลุ่ม CITI group ได้ส าเร็จ เหมือนตอนที่ซื้อพอร์ตหนี้จาก HSBC และ Standard Charter

2.) ธุรกิจสินเชื่อและบัตรเครดิต ธุรกิจประกันฯ ร่วมกับธนาคาร KBJ ที่เป็น Partner เมื่อรวมข้อมูล Big Data ที่ได้จากกลุ่ม VGI HUMAN ฯลฯ ซึ่งเรา ประเมินว่าจะแถลงแผนงานนี้ในปีหน้า

3.) Fanslink ภายใต้เครือ VGI เป็น ตัวแทนจ าหน่ายทางการของ Brand Xiaomi และเครื่องใช้ไฟฟ้า Haier จะ ช่วยเพิ่มยอดขายทันทีผ่านช่องทางทั้ง Offline หน้าร้าน JMART SINGER และ Online ส่งผ่าน KEX

ข้อมูลธุรกิจ BTS JMART BTS

ประกอบธุรกิจ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ (1) ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที) (2) ธุรกิจสื่อโฆษณา (3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ (4) ธุรกิจบริการ JMART ปัจจุบัน บริษัทมีสถานะเป็นโฮลดิ้ง คอมพานี หรือประกอบธุรกิจลงทุนในธุรกิจอื่น โดยมีธุรกิจหลักของบริษัทแกนคือ จำหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หลักทุกรายและผู้ให้บริการทุกเครือข่ายรวมถึงการขยายธุรกิจเข้าไปในตลาดจัดจำหน่ายกล้องดิจิตอล และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

App ตั้งเตือนหุ้นใช้ฟรี

Link Download Android

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.labhoon.labhoon

ระบบ IOS Link Download https://apps.apple.com/th/app/labhoon/id1554668073

วีดีโอสอนเข้าระบบครับ https://youtu.be/M8ygnJG17OA

——————————————-

สนใจ เครื่องมือสแกนหุ้นพรีเมียม / สอบถามรายละเอียด

add line https://bit.ly/3tgVS0A หรือดูรายละเอียดได้ที่

www.labhoonplus.com

App ตั้งเตือนหุ้นใช้ฟรี

Link Download Android

https://play.google.com/store/apps/details?id=com.labhoon.labhoon

ระบบ IOS

Link Download

https://apps.apple.com/th/app/labhoon/id1554668073

วีดีโอสอนเข้าระบบครับ https://youtu.be/M8ygnJG17OA

ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเกาหลีใต้ขยายตัว 0.8% ในไตรมาส 2/2564 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัว 0.7%

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตัวเลข GDP ของเกาหลีใต้ขยายตัวได้ดีขึ้นนั้น มาจากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนและการลงทุนด้านสาธารณูปโภค โดยการอุปโภคบริโภคในภาค

เอกชนพุ่งขึ้น 3.6% ในไตรมาส 2 และการลงทุนด้านสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น 1.1%

infoquest

พัฒนาการสำคัญ 2021
-EU ยอดเพิ่มถึงจะยังไม่เยอะ แต่ขึ้นทุกเดือน
-คาดว่าดีมานจะยังสูงในครึ่งปีหลัง จากการที่ยุโรปหลุดจากโควิด
-ขยาย RX ต่อเนื่อง
-ทำเลนส์ anti-fog เพื่อให้คนใส่หน้ากากเลนส์ไม่มัว
-ทำการตลาดร่วมหอแว่น Z Design
-เพิ่มสินค้าใหม่ premium RX ในไทย
-ลงทุนในระบบ Automation เป้าผลผลิตสูงกว่าแรงงาน 10%

อัพเดทล่าสุด

-ใช้กำลังผลิต 90%
-แผนขยายกำลังการผลิตโดยปรับพื้นที่สินค้าไม่สร้างรายได้มาเปลี่ยนตัว ทำให้ capacity +20%
งบลงทุน 60-70 ล้านบาท
-Q2 คาดคำสั่งซื้อชะลอง จากยอดQ4-Q1 ซึ่งรวมการเติบโตไปแล้ว จะกลับมาปกติยังดีกว่าปีที่แล้ว
-ทิศทางเป้าในUS เกิน 200 ล้าน แน่นอนโต 2 digit
-EU ธุรกิจจะสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า มองคาดกลับมาก่อนโควิด และโต5-8%
*-แผนเติบโต เดิม5-10% พอQ1 มอง 12-15% อยู่ที่การฉีดวัคซีนทั่วโลก
-เป้าหมายสัดส่วนรายได้ US EU ASIAN AUS ส่วนละ 25% เพื่อกระจายความเสี่ยง เดิมที่EU เป็นส่วนหลัก
-ตอนหลังฟังไม่ชัดหลายจุดนะครับ

**************************************************************************************************************

1. กำลังการผลิต ณ Q2 ยังอยู่ใน High Rate 80%+ และ Q3 จากออเดอร์ที่เข้ามาถึงสิงหาคม ยังอยู่ในระดับสูง [กำลังการผลิตเทียบเคียงปี 2562 ช่วงก่อน Covid เพราะปี 2563 ฐานต่ำ ยังไงก็สูงกว่าอยู่แล้ว]

2. สถานการณ์ Covid โรงงานมีมาตรการตรวจเชิงรุกมีการพบพนักงานติด Covid ประมาณ 1% แต่อยู่ในส่วนที่ไม่กระทบกับกำลังการผลิต

3. ในส่วน Rx ที่เป็นกลุ่มที่เป็นส่วนการผลิตที่ Full Automation ที่รันเครื่องจักร 24 ชม.พนักงานในส่วนนี้ไม่ให้ออกไปนอกโรงงาน กักตัวพิเศษ ประมาณ 100 คน

4. ตอนนี้ยอดจากต่างประเทศยังคงปกติ [ออเดอร์ล่าสุดถึง สิงหาคม]

5. การลงทุนเครื่องจักรใหม่ยังคงตามแผน คาดเริ่มรันได้ 4Q64-1Q65

ดีลนี้เริ่มจาก CPALL CPF และบริษัทแม่ของ CP ไปกู้เงินมาซื้อ LOTUS ถ้าดูบริษัทที่อยู่ในตลาด CPALL ถืออยู่ 40% และ CPF ถืออยู่ 20% ถ้าไปดูในงบ CPALL ดอกเบี้ยจ่ายกระหน่ำและธุรกิจได้รับผลกระทบจาก COVID เต็มๆ ทั้ง CPALL เอง และ LOTUS ทำให้กำไรแทบไม่เหลือ .

ธุรกรรมในครั้งนี้ก็จะเป็นการนำ LOTUS เข้าไปอยู่ใต้ MAKRO โดยการเพิ่มทุนที่ MAKRO และชำระด้วยหุ้นของ LOTUS ทำให้สุดท้ายแล้ว CPALL จะถือ MAKRO ลดลงจาก 93% เหลือ 66% CPF 10% และ CP ตัวแม่ 20% ถ้าดูตามสัดส่วนการถือหุ้นก็จะเหมือน CPALL ถือ MAKRO ลดลง จาก 93% เหลือ 66% แต่ได้หุ้น LOTUS เพิ่มจาก 40% เป็น 66% พอทำพิธีกรรมเสร็จก็จะออกเพิ่มทุน PO โดยนำหุ้น MAKRO มาขายทำให้ free float เพิ่มจาก 3% เป็น 15% CPALL CPF .

แล้ว CPALL MAKRO มีอะไรน่าสนใจ.

CPALL หลังธุรกรรมแล้วเสร็จ ผลประกอบการของ CPALL จะยังรวมงบของ MAKRO ที่มีผลดำเนินงานของ Lotus’s แม้ในระยะสั้น อาจยังมีผลกระทบจากค่าใช้จ่าย การปรับและเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ของ Lotus’s ในรูปโฉมใหม่ ซึ่งอาจมีผลต่อผลประกอบการของ Lotus’s จากงบเสมือนปี2563 MAKRO จะมีผลกระทบจากค่าความนิยม และสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรเพิ่มราว1.5 พันล้านบาท ก็ได้เงินสดมาลดหนี้ที่ไปซื้อ LOTUS มา จากที่เคยทำมาหากิจเท่าไรโดนดอกเบี้ยกินหมดก็เริ่มหายใจหายคอดีขึ้น.

MAKRO จะกลายร่างเป็นบริษัทค้าปลีกและค้าส่งขนาดใหญ่บิ้กเบิ้ม ไม่นานน่าจะเห็นการร่วมมือกันมากขึ้น วันนี้เข้า LOTUS ถ้าสังเกตจะเห็นการร่วมมือของทั้งกลุ่ม CP อยู่ในนั้น ขายซิม รับเงินผ่าน truemoney มีร้านไก่ย่าง 5 ดาว lotus express อยู่หน้าห้าง.

ข้อมูลธุรกิจ CPALL MAKRO.

CPALL ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven และให้สิทธิแก่ผู้ค้าปลีกรายอื่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และลงทุนในธุรกิจสนับสนุนธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ อาทิ ผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูปและเบเกอรี่ ตัวแทนรับชำระเงินค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบชำระเงินสดและบริการตนเองภายใต้ชื่อ “แม็คโคร”.

MAKRO ประกอบธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง ภายใต้ชื่อ “แม็คโคร” ในการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ได้แก่ กลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อย กลุ่มโฮเรก้า กลุ่มสถาบันต่างๆ และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจบริการ.

——————————————-

สนใจ เครื่องมือสแกนหุ้นพรีเมียม / สอบถามรายละเอียดadd line https://bit.ly/3tgVS0A

หรือดูรายละเอียดได้ที่www.labhoonplus.com

—————————————————

App ตั้งเตือนหุ้นใช้ฟรี

Link Download Android

https://play.google.com/store/apps/details…

ระบบ IOSLink Download

https://apps.apple.com/th/app/labhoon/id1554668073วีดีโอสอนเข้าระบบครับ https://youtu.be/M8ygnJG17OA

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในช่วงต้นของวันพุธ หลังจากปรับตัวลงเล็กน้อยวานนี้ แต่โดยรวมปิดท้ายเดือนอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนมองโลกในแง่ดีท่ามกลางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ที่สรุปว่าจะเริ่มลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

investing

ค่าเงินบาทไทยเช้านี้แตะ 32.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นหลังจาก Fed ไม่ได้ให้รายละเอียดการลด QE โดยฉุดดอลลาร์ให้กลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้น-พันธบัตรไทยคึกคัก 3.8 หมื่นล้านบาท

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย ชี้ว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้แข็งค่า 32.53 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนัก ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นของตลาด หลังประธานเฟดกลับไม่ได้ให้รายละเอียดการลด QE มากเท่าที่ตลาดคาดหวังในงานประชุม Jackson Hole ขณะที่เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.34 หมื่นล้านบาท และตลาดพันธบัตร 2.46 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาท อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยดูแลความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งอาจพอช่วยให้เงินบาทแกว่งตัวไซด์เวย์ใกล้โซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ซึ่งเป็นโซนแนวรับหลักและเป็นระดับที่ยังคงมีผู้นำเข้าบางส่วนรอทยอยแลกซื้อเงินดอลลาร์
นายพูน มองว่า กรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 32.30-32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในช่วงต้นของวันอังคารนี้ หลังสองดัชนีทำสถิติใหม่อีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนเพิกเฉยต่อสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระตุ้นค่าความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุน

ในช่วงทำการในวันจันทร์ S&P 500 เพิ่ม 19.42 จุดหรือ 0.43% เป็น 4528.8 เพิ่มขึ้น 2.7% 

ขณะที่ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 55.94 จุดหรือ 0.16% เป็น 35399.85 และเพิ่มขึ้น 1.3% 

ดัชนี NASDAQ เพิ่ม 136.39 จุดหรือ 0.9% สู่ 15265.89 เพิ่มขึ้น 3.32% ต่อเดือน

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับความนิยมหลัง Apple Inc (NASDAQ:AAPL) พุ่งขึ้น 3% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ Microsoft Corporation (NASDAQ:MSFT) เพิ่มขึ้น 1.29%

Amazon.com Inc (NASDAQ:AMZN) เพิ่มขึ้น 2.15% ในขณะเดียวกัน PayPal Holdings Inc (NASDAQ:PYPL) เพิ่มขึ้น 3.6% หลังจาก CNBC รายงานว่าบริษัทกำลังสำรวจการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นสำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ 

ในบรรดาหุ้นที่ปรับตัวลง Zoom Video Communications Inc (NASDAQ:ZM) ร่วงลง 12.22% แม้จะ รายงานผลประกอบการ ดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากนักลงทุนเน้นที่การเติบโตที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า .

ในตลาดตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐอยู่ที่ 1.277%

investing

Investing.com – นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวว่า ธนาคารกลางจะเริ่มลดการซื้อพันธบัตรรายเดือนในปีนี้ และจะไม่รีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากนี้

S&P 500 เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด บวก 0.76% หรือ 34.19 จุด ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 1.33%

ดัชนี Nasdaq ก็ทำสถิติสูงสุดเช่นกัน โดยบวก 0.98% หรือ 147.6 อยู่ที่ 15,093.80 จุด 

ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 243.84 จุด อยู่ที่ 35,456.96 จุด

พาวเวลล์เตือนว่านี่ไม่ใช่สัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยย้ำว่าตัวเลขเศรษฐกิจปัจจุบันต้องรอตัวเลขการจ้างงานให้บรรลุเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยก่อน 

การคาดการณ์รายไตรมาสที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางที่เข้าร่วมประชุม 7 คนจาก 18 คนคิดว่าเหมาะสมที่จะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ในขณะที่อีก 6 คนคิดว่าปีที่เหมาะสมคือปี 2023

ตัวเลขการจ้างงานโดยรวมของสหรัฐฯ ล่าสุดยังคงต่ำกว่า 6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับตัวเลขก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 โดยล่าสุดการแพร่กระจายของโควิดสายพันธุ์เดลต้าทำให้เกิดความไม่แน่นอนในเดือนที่จะมาถึงข้างหน้า

รอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นราว 1% ในวันนี้ หลังจากพายุเฮอริเคนกำลังแรงพัดผ่านอ่าวเม็กซิโก ทำให้ต้องปิดและอพยพคนงานของแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งหลายร้อยแห่ง

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ เพิ่มขึ้น 84 เซนต์หรือ 1.2% ไปที่ 73.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเวลา 0001 GMT หลังจากเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ในสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากคาดว่าจะเกิดการหยุดชะงักของการผลิตน้ำมัน

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 53 เซนต์หรือ 0.8% ที่ 69.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์ที่แล้ว

เมื่อวันเสาร์ บริษัทพลังงานได้หยุดการผลิตน้ำมันดิบ 91% หรือประมาณ 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวันในอ่าวเม็กซิโก ตามรายงานของสำนักบังคับใช้ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ขณะที่เฮอริเคนไอดามุ่งหน้าไปยังแท่นขุดเจาะและโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ

“บริษัทน้ำมันและก๊าซได้อพยพคนงานนอกชายฝั่ง 290 แห่ง และเคลื่อนย้ายเรือเจาะ 11 ลำ ให้พ้นจากอันตรายภายในเที่ยงวันเสาร์” ผู้ควบคุมงานนอกชายฝั่งกล่าว

ศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติกล่าวว่า เฮอริเคนไอดาพุ่งเข้าสู่ชายฝั่งใกล้กับท่าเรือ Fourchon ในรัฐหลุยเซียนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมพลังงานนอกชายฝั่งของอ่าว เมื่อเวลา 11:55 น. CDT (16:55 GMT) ในวันอาทิตย์ โดยนับเป็นพายุเฮอริเคนระดับ 4 ที่อันตรายอย่างยิ่ง

ผู้ที่ไม่สามารถอพยพได้จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบความแข็งแกร่งของเขื่อนรอบชายฝั่งเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินหลายพันล้านเหรียญเมื่อครั้งที่พายุเฮอริเคนแคทรีนาพัดถล่มเมืองในช่วงกว่าทศวรรษที่แล้ว

เขื่อนใหม่ขนาดหลายร้อยไมล์ ถูกสร้างขึ้นรอบเมืองหลังจากการทำลายล้างที่เกิดจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา ซึ่งพัดถล่มเมื่อ 16 ปีที่แล้วและคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 1,800 คน

“นี่เป็นพายุที่รุนแรงที่สุดลูกหนึ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดแผ่นดินถล่ม” จอห์น เบล เอ็ดเวิร์ด ผู้ว่าการรัฐหลุยเซียนากล่าวกับผู้สื่อข่าว

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทรงตัวในการซื้อขายช่วงต้นในวันจันทร์ หลังจากปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ประธานธนาคารกลางสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าการค่อย ๆ ลดการซื้อพันธบัตร ซึ่งอาจเริ่มในปีนี้

ขณะที่ตั้งข้อสังเกตว่ายังมี “อีกหลายปัจจัย” ที่ต้องพิจารณาก่อนขึ้นอัตราดอกเบี้ย.เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.9% S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.5% และ ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 2.8% ขณะที่โพสต์กำไรรายเดือนที่ 1.5 % 2.6% และ 3.1% ตามลำดับ.นักลงทุนจับตามอง การประชุมที่แจ็คสัน โฮล

เมื่อวันศุกร์อย่างใกล้ชิด นายเจอโรม พาวเวลล์ แห่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่เตรียมไว้ โดยตั้งข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจได้มาถึงจุดที่ไม่ต้องการการสนับสนุนนโยบายมากนัก และส่งสัญญาณว่าผู้กำหนดนโยบาย มีแนวโน้มที่จะเริ่มลดการซื้อสินทรัพย์รายเดือนก่อนสิ้นปี .ขณะนี้นักลงทุนกำลังหันไปจับตา จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ในปลายสัปดาห์นี้ เพื่อยืนยันการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ยอดคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานในสหรัฐ และ {{ecl-45| |ค่าก่อสร้าง}} จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด.ในตลาดตราสารหนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ที่ 1.304%.Investing