เดือด! เงินเฟ้อยังแผลงฤทธิ์ ตลาดหุ้นเตรียมรับแรงสั่นสะเทือน!

Core PCE ออกมาแล้ว และ… แม่เจ้า! สูงกว่าที่คาดอีกแล้วจ้า 😵‍💫

งานนี้ Fed คงต้องเกาหัวแกรก ๆ เพราะแผนลดดอกเบี้ยอาจต้องพักก่อน เซ็งเลย!

📌 ไฮไลท์ของความป่วนครั้งนี้:

✅ Core PCE ยังดื้อ ไม่ยอมลด!

เดือนต่อเดือน (m/m): +0.4% (คาด +0.3%)

ปีต่อปี (y/y): +2.8% (คาด +2.7%)

แปลว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังเหนียวแน่น ไม่ยอมลงง่าย ๆ!

✅ เงินเฟ้อรวม มากับความนิ่ง

PCE Headline (m/m): +0.3% (ตรงเป๊ะตามคาด)

PCE Headline (y/y): +2.5% (ตรงตามสคริปต์)

ตัวเลขนี้ดูเรียบร้อยดี แต่ตลาดสนใจ Core มากกว่าไง!

💥 ผลกระทบต่อโลกแห่งการลงทุน

ตัวเลขแบบนี้ ส่งสัญญาณชัดว่า เตรียมตัวปั่นป่วนได้เลย!

1️⃣ Fed อาจต้องรอไปก่อน – ตลาดเคยหวังว่า Fed จะใจดี ลดดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ แต่มาเจอเงินเฟ้อดื้อแบบนี้ บอกเลยว่า “ใจเย็น ๆ ก่อนนะเด็ก ๆ”

2️⃣ หุ้นอาจโดนเท! – นักลงทุนสายหวังดอกเบี้ยต่ำอาจต้องร้องไห้หนักมาก เพราะ Fed อาจยังไม่พร้อมใจอ่อน ตลาดเทคฯ และหุ้นที่พึ่งเงินกู้ต้นทุนต่ำอาจโดนกระทบเต็ม ๆ 📉

3️⃣ Bond Yield มีลุ้นพุ่ง – เงินเฟ้อดื้อแบบนี้ นักลงทุนอาจไปเทใจให้พันธบัตรแทน ขอผลตอบแทนสูงขึ้นไปอีก ทำให้ Bond Yield เด้งขึ้นตามไปด้วย

🔥 อะไรที่ต้องจับตาต่อไป?

Fed จะพูดยังไง? – Jerome Powell จะออกมาปลอบตลาด หรือจะส่งสัญญาณว่า “เอานะ พวกนายทนอีกหน่อย” ต้องลุ้น!

ตัวเลขตลาดแรงงาน – ถ้าค่าจ้างยังสูง และคนยังมีงานทำกันเพียบ Fed อาจยิ่งไม่มีข้ออ้างลดดอกเบี้ยเร็ว ๆ

สงครามการค้า & การเมืองสหรัฐฯ – ถ้ารัฐบาลงัดนโยบายกีดกันทางการค้าแรง ๆ อาจยิ่งไปเร่งเงินเฟ้อให้ป่วนกว่าเดิม

⚡ สรุป: เงินเฟ้อยังไม่ยอมแพ้ ตลาดต้องเตรียมตัวรับศึกหนักต่อไป!

📌 นักลงทุนต้องวางแผนให้ดี กระจายพอร์ตให้เหมาะสม จะหวังดอกเบี้ยต่ำแบบชิว ๆ ไม่ได้แล้ว! งานนี้ต้องจับตา Fed อย่างใกล้ชิด 🤓

📉 ตลาดจะลงหนักแค่ไหน? Fed จะยื้อดอกเบี้ยไปอีกนานแค่ไหน? อืม… ไปลุ้นกันต่อครับพี่น้องงงงงง! 🔥

#หุ้นสหรัฐ#SPX#เงินเฟ้อ

หากต้องดูกราฟเชิงระเอียด

https://visualize.graphy.app/…/49e7d040-f69b-4eef-9179…

🔥สนใจห้อง LINE VIP หุ้นสหรัฐ (ฟรี)

สิ่งที่ได้รับ 1.วิเคราะห์แผนเทรดหุ้นรายตัว 2.Indy พิเศษบน Trading view

เพียงเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศกับโบรค partner

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ

https://lin.ee/jOZtZCl

//////////

🎁สนใจ สมาชิก Labhoonplus สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก:

1.wave 3 ขาขึ้นใหญ่ [ ระบบสแกน ]

2.หุ้นสหรัฐ กราฟสวย ห้องVIP

3.ระบบสแกนหุ้นขาขึ้นวันแรก พร้อมเล่น

4.ระบบสแกน Fund Flow, Sector Rotation

5.ห้อง Telegram VIP พูดคุย update ข่าวสารการลงทุน

6.Indicator หน้าเทรดพิเศษใน โปรแกรม Trading view

Ai สแกนหุ้น ด้วย price pattern ที่นักลงทุนชื่นชอบ

รับสิทธิพิเศษเหล่านี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ add line https://bit.ly/3tgVS0A

หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://labhoonplus.com/applabhoon

​มีคนกลับลำแล้วจ้า มอร์แกน สแตนลีย์ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นจีน

ตลาดหุ้นจีน

​มอร์แกน สแตนลีย์ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นจีนเป็นครั้งที่สองในปีนี้ โดยระบุถึงการคาดการณ์ที่ว่ารายได้ของบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวสูงขึ้น และมีมุมมองบวกมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสกุลเงินหยวนของจีน ​

นอกจากนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2025 ขึ้นสู่ระดับ 4.5% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 4% และปรับคาดการณ์ค่าเงินหยวนสู่ระดับ 7.35 หยวนต่อดอลลาร์ภายในกลางปี 2025 และ 7.50 หยวนต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2025 ​

อย่างไรก็ตาม โกลด์แมน แซคส์ได้แสดงความเห็นว่าตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่เตือนว่าอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการทำกำไร เนื่องจากนโยบายและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจมีความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า

อ่านวิเคราะห์หุ้นจีนย้อนหลัง

#จีน #ตลาดหุ้นจีน #Hshare #Ashare

USCAP กำลังดิ่งลงมาใกล้ “Buy Dip Zone”

USCAP กำลังดิ่งลงมาใกล้ "Buy Dip Zone"

หุ้นสหรัฐ

MarketDesk’s U.S. Capitulation Indicator (USCAP) ส่งสัญญาณให้ช้อนหุ้นแล้วจริงเหรอ? 🤨

USCAP กำลังดิ่งลงมาใกล้ “Buy Dip Zone” อีกแล้ว แปลว่าถึงเวลาช้อนหุ้นสหรัฐหรือยัง? มาดูกัน!

USCAP คืออะไร?

มันคือดัชนีที่วัดระดับ “capitulation” หรือการยอมแพ้ของตลาด โดยดูจากแรงขายที่รุนแรงและความตื่นตระหนกของนักลงทุน ค่า USCAP ถูกวัดเป็นค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (std) จากค่าเฉลี่ย ตอนนี้ค่าล่าสุดอยู่ที่ -1.7 std กำลังไถลเข้าใกล้โซนที่เรียกว่า “Buy Dip Zone”

“Buy Dip Zone” คืออะไร?

หาก USCAP ลงต่ำกว่า -2 std หรือต่ำกว่าในอดีต มักจะบ่งบอกว่าตลาดเข้าสู่ภาวะ oversold หรือขายหนักเกินไป ซึ่งจุดนี้เคยเกิดขึ้นในช่วง 2015-2016 (Industrial Recession), 2018 (Fed Rate Hikes), 2020 (Covid Pandemic), และ 2022 (Fed/Inflation) และหลายครั้งก็กลายเป็นโอกาสสำหรับสาย “buy the dip”

ตอนนี้สถานการณ์เป็นไงบ้าง?

✅ USCAP กำลังลดลง แต่ยังไม่ถึง -2 std

✅ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (US 10Y Treasury) แตะ 5% กดดันตลาด

✅ ถ้าดัชนีร่วงต่ำกว่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มมองหาจุดกลับตัว

สรุป: ถึงเวลาช้อนหุ้นหรือยัง?

USCAP ที่ลดลงแสดงว่าตลาดกำลังเข้าสู่โหมดตื่นตระหนกแล้ว

หากเราเชื่อคำพูดของปู่ Warren Buffett ” จงกล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว ” ตรงนี้แระคนส่วนใหญ่กลัวแล้ว

นักลงทุนสาย “buy the dip” อาจเริ่มจับตา แต่ควรรอดูปัจจัยมหภาคเพิ่มเติม ก่อนโดดลงไปลุย! 🚀

🔥 ถ้าตลาดฟื้นจริง คุณจะกล้าช้อนไหม? หรือรอดูไปก่อน? คอมเมนต์มาหน่อย!

#ความรู้กองทุนรวม101

#Goinvest#Goinvestให้ความรู้คู่ใส่ใจลงทุนได้ไม่ทิ้งกัน

การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน

การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน

หุ้นจีน 🇨🇳

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนที่ติดตาม Live ของผมเป็นประจำ! วันนี้เรามีประเด็นร้อนๆ อีกหนึ่งเรื่อง ที่ผมเชื่อว่าทุกคนรอคอย นั่นก็คือเรื่องของ การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน มาฝากครับ

จากกราฟจะสังเกตุเห็นได้ว่า

ข้อมูลจากปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 บ่งชี้ว่าราคาบ้านและสภาพแวดล้อมด้านอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่าตลาดอาจกำลังเข้าสู่ช่วง “bottoming out” หรือแตะจุดต่ำสุด เมื่อมองในเชิงบวก นี่อาจเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนระยะยาว เพราะเมื่อผ่านช่วงนี้ไป โอกาสฟื้นตัวก็จะเริ่มปรากฏให้เห็น!

🚀 ปี 2025 – จุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว

หากแนวโน้ม “bottoming out” ยังคงดำเนินต่อไป ปี 2025 อาจเป็นช่วงเวลาที่ตลาดเริ่มกลับมาแข็งแกร่ง แม้การฟื้นตัวอาจไม่พุ่งขึ้นรวดเร็วเหมือนในอดีต แต่ก็มีโอกาสที่ราคาจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นอย่างมั่นคง

🔥 ทำไมตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ดี?

✅ Downside จำกัด – Upside น่าสนใจ

เมื่อราคาลงมาใกล้จุดต่ำสุดแล้ว ความเสี่ยงขาลง (Downside) ก็น้อยลง ในขณะที่โอกาสเติบโตในอนาคตยังมีอยู่

✅ นโยบายกระตุ้นจากรัฐบาล

รัฐบาลจีนอาจเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย ผ่อนปรนข้อกำหนดด้านสินเชื่อ และสนับสนุนผู้ซื้อบ้าน ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ตลาดฟื้นตัว

✅ ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา

เมื่อราคาบ้านเริ่มมีเสถียรภาพ ผู้ซื้อและนักลงทุนก็เริ่มกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการฟื้นตัวและเกิดแรงหนุนต่อราคาบ้านในระยะยาว

✅ เศรษฐกิจจีนยังแข็งแกร่งในระยะยาว

แม้จะมีความท้าทาย แต่จีนยังคงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก การเติบโตของเมืองหลักและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสนับสนุนตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้

📌 สิ่งที่ต้องจับตา

🔹 มาตรการใหม่ของรัฐบาล – ติดตามการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่อาจเป็นตัวเร่งให้ตลาดฟื้นตัวเร็วยิ่งขึ้น

🔹 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย – อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยกระตุ้นการซื้อและทำให้ตลาดกลับมาคึกคัก

🔹 ความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติ – หากตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ นักลงทุนต่างชาติก็อาจกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น

💡 มุมมองส่วนตัว: โอกาสอยู่ที่ใครมองเห็นก่อน

ผมเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนในปี 2025 มีโอกาสฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ และตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาทองสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกล เพราะเมื่อจุดต่ำสุดผ่านไป โอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นในอนาคตมีความเป็นไปได้สูง🚀

🔥 คุณมองตลาดอสังหาฯ จีนปี 2025 อย่างไร? แบ่งปันมุมมองของคุณได้เลย! 👇

#อสังหาจีน#กองทุนจีน#เศรษฐกิจจีน#หุ้นจีน

สรุปหนังสือ ‘ที่สุดของ VI’ โดย ชาย มโนภาส Part1

…………………………………………………………………………………………………….

3 บทความนับจากนี้ ประกอบด้วย 

PART 1: เรียนรู้

PART 2: แยกแยะ

PART 3: ตกผลึก

…………………………………………………………………

🖊การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI : Value investment) คือการเดินทางอันยาวนาน ระหว่างทางอาจพบเจอกับอุปสรรคมากมาย รุ่นพี่นักลงทุนผู้หนึ่งเคยกล่าวว่า “สำหรับคนที่บริหารจิตใจตนเองไม่เป็นนั้น การได้มารู้จักตลาดหุ้น อาจเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดในชีวิตของเขา” : ไม้ฟืน : พะเนียง พงษธา🖊

……….

🟥PART 1: เรียนรู้

………

🗞การเดินทาง🗞

การลงทุนเปรียบเสมือนการเดินทาง นักเดินทางสามารถเลือกสรรวิธีการเดินทางได้หลากหลายแบบตามจริตของแต่ละปัจเจกบุคคล เฉกเช่นเดียวกัน หนทางก้าวเดินไปสู่ความมั่งคั่งล้วนหลากหลาย เราจะเลือกแบบใดก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความชอบส่วนตัว ความสามารถ และองค์ความรู้ บางแนวทางนั้นมีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย หากแต่เพียงไม่เหมาะกับตัวเรา เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในแนวทางและหลักการ หมั่นศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนจนชำนาญ เกิดการตกตะกอนของความรู้ ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดก็ตามนั้นสามารถนำทางไปสู่ความสำเร็จด้านการลงทุนในที่สุด

…………………………………

🗞อดทน🗞

นักลงทุนที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความอดทน บางคนเวลาลงทุนชอบใช้ ‘ข้อมูลสำเร็จรูป’ ประเภทที่ว่าบอกชื่อหุ้น บอกแนวรับ แนวต้าน มาเสร็จสรรพ อาจไม่เคยรู้เลยว่าหุ้นที่เข้าซื้อไปนั้นประกอบธุรกิจอะไร ทำมาหากินอย่างไร มองกระบวนการลงทุนเป็นเพียงสัญลักษณ์และตัวเลขวิ่งขึ้นๆลงๆ นักลงทุนประเภทนี้คงยากที่จะพบเจอกับความสำเร็จ อยู่ในตลาดหุ้นมองเห็นแต่เพียงความโลภ จงอย่าลืมว่า “ความอดทนเปรียบเสมือนตัวคูณ”

…………………………………

🗞ความแตกต่าง🗞

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว ล้วนสามารถสร้างความมั่งคั่งได้เสมอ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุน คุณจำเป็นต้องใช้ความรู้ในการวิเคราะห์บริษัท มีความเข้าใจในกิจการและอุตสาหกรรมพอสมควร ไม่ใช่การนึกคิดวาดฝันไปเอง แน่นอนว่าหากเราใส่ความทุ่มเทพยายามไปเท่าไหร่ ขนาดของกำไรที่พอจะคาดหวังได้ก็คงไม่แตกต่างกัน

…………………………………

🗞ถึงนักลงทุนพอร์ตเล็ก🗞

ณ ตลาดหุ้นไทย ผมเชื่อว่ายังมีบริษัทที่ซื้อขายกันในราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอยู่ สำหรับนักลงทุนที่พอร์ตยังเล็ก เงินยังน้อย ก็อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียว่าโอกาสทางการลงทุนดีๆคงหมดไปแล้ว เล่นหุ้นเอาสนุกก็พอ คุณควรใส่ใจในรายละเอียดเพื่อค้นหาโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมเชื่อเสมอว่าในโลกแห่งการลงทุน ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความยาก เมื่อเวลาผ่านไปจนเกิดเป็นความชำนาญแล้ว กระบวนการลงทุนก็จะมุ่งหน้าไปสู่ความเรียบง่าย ลดความซับซ้อนลงไปมาก หากเราเริ่มต้นชีวิตนักลงทุนด้วยการมองหาความง่าย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่มีวินัย ไม่แสวงหาความรู้ ความสำเร็จคงเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่อยู่ในจุดเริ่มต้นของชีวิตนักลงทุนควรถามตนเองให้ดีก่อนว่า “เราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นเขา” เมื่อในตลาดหุ้นนั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อย คงมีเพียงความรู้ที่เข้มข้น การรู้จักอดทนและรอคอย ที่จะช่วยให้ฝันเรื่องอิสรภาพทางการเงินกลายเป็นความจริง

…………………………………

🗞เหนือกว่าวอลล์สตรีท🗞

ในกระบวนการลงทุนนั้นความรู้เรื่องบัญชีและธุรกิจเป็นสิ่งที่ร่ำเรียนกันได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ในที่สุดนักลงทุนซึ่งประสบความสำเร็จจะเฉือนคมกันที่รายละเอียด และความใส่ใจต่อหุ้นที่พวกเขาถือครองอยู่ ดังที่ ‘จิม โรเจอร์ส (Jim Rogers)’ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณอ่านรายงานประจำปีของบริษัท คุณก็จะเหนือกว่าคนอีก 98% ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท” ความเชื่อประมาณที่ว่านักลงทุนระยะยาวมักซื้อหุ้นที่มี P/E ต่ำ และจ่ายเงินปันผลสูงนั้นมีมาช้านาน การที่นักลงทุนคัดเลือกหุ้นแบบปักธงในใจมาแล้วนั้นอาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีได้

………………………………….

🗞ความได้เปรียบ🗞

หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีความชำนาญพิเศษในอุตสาหกรรมใดๆอันสืบเนื่องมาจากการศึกษา หน้าที่การงาน หรือชีวิตประจำวัน ก็ไม่ควรปล่อยองค์ความรู้ที่มีให้สูญเปล่า ผมเคยเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง และมีโอกาสได้พบกับนักลงทุนที่มีอาชีพหลักเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เขาสนใจเข้าลงทุนในบริษัทนี้เพราะเข้าใจสภาวะตลาดวัสดุก่อสร้างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ‘มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางการลงทุน’ แต่หากเราเป็นนักลงทุนธรรมดาทั่วไป ขอให้นึกถึงคำแนะนำของ ‘แจ๊ก เวลช์ (Jack Welch)’ อดีตประธานบริษัท General Electric ที่เคยกล่าวไว้ว่า “หากไม่มีความสามารถในการแข่งขัน จงอย่าแข่งขัน” กลับมาลงทุนในกิจการที่คุ้นเคยกันดีกว่าครับ

………………………………….

🗞เล่นหุ้นตามเซียน🗞

มุมมองหรือทัศนคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของเซียนหรือผู้เชี่ยวชาญอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ไม่มีอะไรแน่นอน การฟังความคิดเห็นจากผู้รู้นั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่การฟังแล้วปักใจเชื่อว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน อาจทำให้เรามีมุมมองด้านต่างๆคับแคบจนเกินไป เราควรให้น้ำหนักกับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง (Fact) มากกว่าข้อคิดเห็น (Opinion)

…………………………………..

🗞การเงินสำหรับคนธรรมดา🗞

การเริ่มเก็บออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย หากได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และมีอายุยืนยาวนั้นเป็นตัวช่วยชั้นดีต่อการสร้างความมั่งคั่งอย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก จุดตัดสำคัญในการลงทุนสำหรับคนทั่วไปคือคุณต้องแยกแยะให้ออกว่าธุรกิจใดเหมาะสมแก่การลงทุนระยะยาว บริษัทซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อคัดเลือกมาเป็นอย่างดีแล้วก็ใส่เงินออมลงไปพอสมควร จากนั้นเหลือเพียงแค่รอเวลาให้เครื่องจักรแห่งความมั่งคั่งทำงานต่อไปเรื่อยๆ คนธรรมดาสามารถบรรลุเป้าหมายทางการออมได้ หากพวกเขามุ่งมั่น เอาจริง มีวินัย และไม่ใช้จ่ายเงินจนเกินตัว

………………………………..

🗞ไม่มีอะไรที่แน่นอน🗞

นักลงทุนทั่วไปสามารถจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนได้ด้วยตนเอง เช่นกระจายการถือครองหุ้นไปในหลายบริษัท หลากหลายอุตสาหกรรม และถือครองเงินสดไว้ในระดับที่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล หากมีการกู้ยืมเงินมาลงทุนก็ควรอยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป สามารถบริหารจัดการได้ ‘วอเร็น บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)’ ถือครองเงินสดประมาณ 10 – 20% จากสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ‘Berkshire Hathaway’ อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเชื่อว่าหากมีข้อเสนอทางการลงทุนดีๆผ่านเข้ามาจะได้ไขว่คว้าไว้อย่างทันท่วงที

‘โฮเวิร์ด มาร์ค (Howard Marks)’ เคยกล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคต แต่เราสามารถเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ได้” นี่เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน

………………………………….

🗞กระจายความเสี่ยง🗞

การกระจายความเสี่ยงนั้นหากนักลงทุนนำมาใช้อย่างถูกต้องก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้ แต่ในทางกลับกันก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลได้เช่นกันหากกระทำด้วยความไม่รู้ เช่นการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่เราขาดความเชี่ยวชาญหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ความรู้ในสินทรัพย์นั้นๆแทบไม่มี แบบนี้เรียกว่าการ ‘เดินเข้าหาความเสี่ยง’ คงได้รับบาดแผลกลับมาอย่างแน่นอน

………………………………

🗞เมฆหมอกแห่งการลงทุน🗞

ปัญหาหลักของนักลงทุนในปัจจุบันนี้ไม่ใช่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร หากแต่เป็นการวิเคราะห์ข่าวสารเพื่อกลั่นกรองและพัฒนาไปสู่กลยุทธ์การลงทุน หากเราหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ มองทุกสิ่งให้รอบด้านและเป็นกลาง ก็จะสามารถมองผ่านเมฆหมอกและค้นพบโอกาสดีๆทางการลงทุนได้ในท้ายที่สุด

……………………………….

🗞คิดอย่างเป็นอิสระ🗞

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้นมีความเชี่ยวชาญด้านบัญชีและงบการเงินอย่างทะลุปุโปร่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินทุกคนจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ยังมีปัจจัยสำคัญอีกมากมายซึ่งนอกเหนือไปจากความรู้ด้านการเงิน ไม่แน่ว่าพื้นฐานทางด้านจิตวิทยานั้นอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ ‘วอเร็น บัฟเฟตต์’ กล่าวไว้ว่า “คุณไม่มีวันเข้าถึงความสำเร็จในการลงทุนได้ หากคุณยังไม่สามารถคิดได้อย่างเป็นอิสระ” ระบบความคิดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

นักลงทุนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ที่เริ่มสนใจในตลาดหุ้น มักเริ่มต้นด้วยการศึกษาด้านการเงินก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อศึกษาด้านการเงินมาพอสมควรแล้วก็ควรศึกษาหาความรู้แขนงอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างและแหลมคมยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากนั้นหากคุณเชื่อว่า “ความคิดที่ดีเกิดขึ้นจากใจที่ดี” ก็น่าจะศึกษาเรื่องการฝึกจิตใจดูบ้าง ผมเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อชีวิตในฐานะนักลงทุนและมนุษย์คนหนึ่งบ้างไม่มากก็น้อยในอนาคต

………………………………………………………………………………..

📌แล้วพบกันใหม่สำหรับบทความตอนต่อไปใน ‘PART 2: แยกแยะ’ และ ‘PART 3: ตกผลึก’ เร็วๆนี้

📌ป.ล. หนังสือเล่มดังกล่าวนี้จะถูกจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง ‘สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) : THAI VI’ หากแต่ยังไม่มีกำหนดการอันแน่นอน รอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ ไม่นานเกินรอ ขอขอบคุณ THAI VI และคุณชาย มโนภาส ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

Tender Offer คืออะไร

Tender Offer คือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ

เราคงเคยได้ยินคำว่า Take Over บริษัทนั่นก็คือการที่มีคนเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และ มีอิทธิพลเหนือการบริหารงานของบริษัทซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ เรียกว่า “การครอบงำกิจการ” นั้นเอง

อย่างไรก็ตามในฐานะที่เราเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยคงมีคำถามว่า เมื่อบริษัทถูกครอบงำกิจการจะมีกฎกติกาอะไรหรือไม่ ที่จะทำให้เราไม่เสียเปรียบนั่นก็เป็นที่มาของกฎเกณฑ์เรื่องการครอบงำกิจการกฎเกณฑ์เรื่องนี้ระบุไว้ว่า คนที่เข้ามาครอบงำกิจการ จะต้องทำคำเสนอซื้อ หรือ Tender Offer จากผู้ถือหุ้นรายอื่นที่เหลือทั้งหมดของกิจการด้วย.การทำคำเสนอซื้อตามหน้าที่แบบนี้ จะเรียกว่า Mandatory Tender Offer ซึ่งจะต้องทำเมื่อผู้ที่ครอบงำกิจการได้หุ้นจนถือหุ้นถึง ร้อยละ 25, 50, 75 ขึ้นไปของกิจการ.ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อปกป้องรายย่อย เช่น การกำหนดให้ราคา Tender Offer ต้องไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่คนเข้ามาครอบงำกิจการเคยซื้อภายใน 90 วัน อีกด้วย

#TenderOffer

โพยหุ้นปันผลดี

ในกลางภาวะตลาดผันผวน เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ 😱หลายคนคงอยากได้หุ้นปลอดภัย 🤗 ถือแล้วอุ่นใจ ไม่เสียวไส้ ใจสั่น 💓😉วันนี้พวกเราคัดหุ้นปันผลเด็ดๆ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ นักลงทุนไปทำการบ้านกันต่อครับ 😊

แอดไลน์ GOINVEST FREE!!! พูดคุยปรึกษาการหาปันผล หรือ จัดพอทเพื่อ

6 ตัวกรองคัดหุ้นปันผลดี

หุ้นปันผล เป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงโดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน เพราะถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแต่ก็ยังได้รับเงินปันผล

ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุนได้ อีกทั้งบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาได้นั้น ธุรกิจต้องมีกำไร การลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง

วันนี้เลยหยิบความรู้การกรองหุ้นปันผลีมาฝากกันนะครับ6 ตัวกรองคัดหุ้นปันผลดี ดังนี้

1. ต้องเป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เป็นเงินสด (Cash Dividend) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี ให้ครอบคลุมช่วงที่เกินภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่น ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงหลังจุดเริ่มต้นของ Hamburger Crisis – 2558) การกำหนดเงื่อนไขนี้ ก็เพื่อจะคัดกรองหาบริษัทที่มีทั้งความตั้งใจหรือมีนโยบายชัดเจนที่จะจ่ายเงินปันผล และในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในฐานะที่มีความพร้อมในการที่จะจ่ายเงินปันผลอีกด้วย ทั้งนี้ สามารถที่จะวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้

2.) กำไรสะสม บริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องต้องมีกำไรสะสมที่มากเพียงพอ เพราะกฎหมายกำหนดให้จ่ายเงินปันผลได้เมื่อกิจการมีกำไรสะสมเป็นบวกเท่านั้น ดังนั้น หากติดลบกลายเป็นขาดทุนสะสม หรือ บวกน้อย ก็จะมีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลได้น้อย หรืออาจจ่ายได้ไม่ต่อเนื่อง

3.) กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operation, CFO) ถือเป็นรายการหลักที่วัดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ เพราะถึงแม้กิจการจะมีกำไรสุทธิ แต่ CFO ติดลบ ก็จะให้มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ยิ่งไปกว่านั้น ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ากิจการจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมมาใช้หมุนเวียน ซึ่งหากไม่มีเงินทุนสำรอง ก็อาจต้องก่อหนี้เพิ่ม ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนมีแนวโน้มสูงขึ้น ถือเป็นอุปสรรคในการจ่ายเงินปันผลที่สำคัญ

4.) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) โดยหลักการบัญชี การจ่ายเงินปันผล เป็นกลไกที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ (Net Equity) ลดต่ำลง ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้อัตราส่วน Debt to Equity ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กิจการที่มีอัตราส่วน Debt to Equity สูงอยู่แล้ว มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ การที่จะบอกว่า Debt to Equity ระดับใดสูง ควรทำการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเป็นเกณฑ์ เช่น ไม่เกิน 2 เท่า

5) อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อาจถือได้ว่าเป็นการวัดความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ บริษัทที่อยู่ในช่วงที่มีการเติบโตสูงมักจะมี Dividend Payout Ratio ที่ต่ำ เช่น ประมาณ 30% ของกำไร เนื่องจากผู้บริหารมีความเชื่อว่า หากเก็บเงินที่จะจ่ายเงินปันผลไว้ลงทุนขยายกิจการต่อ ก็น่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าการนำเงินมาจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็น Growth Stock นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ควรคาดหวังผลตอบแทนจาก Capital Gain มากกว่า Dividend ในทางตรงข้ามบริษัทที่ได้ผ่านช่วงของการลงทุนขนาดใหญ่มาแล้ว หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนลดลง อาจสามารถกำหนด Dividend Payout Ratio ที่สูงขึ้นได้ โดยอาจกำหนดที่ระดับสูงกว่า 50% ของกำไรสุทธิ หรือบางบริษัทอาจจ่ายถึง 100% ของกำไรสุทธิ (มีกำไรสุทธิเท่าไรในแต่ละปี นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลทั้งหมด) ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนการลงทุนมาจาก Dividend Yield ควรที่จะเลือกลงทุนในหุ้นประเภทนี้

6. ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี ทั้งนี้ตัวเลข Dividend Yield ที่กำหนดเป็นอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องการเข้าไปลงทุน ออกมาตามที่คาด แต่การที่จะกำหนดเท่าไรขึ้นอยู่กับความพอใจ และ ขีดความสามารถในการรับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ อย่างไรก็ตามหากตั้งเกณฑ์คัดกรองหุ้นโดยกำหนด Dividend Yield ที่สูงจนเกินไป ก็อาจมีหุ้นที่เป็นตัวเลือกน้อยลง และที่สำคัญ เงินปันผลที่ใช้นำมากำหนดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ต้องเป็นเงินปันผลที่คาดการณ์ว่าจะได้รับในอนาคต ไม่ใช่เงินปันผลที่จ่ายมาแล้วในอดีต

หากสนใจเข้ารวมห้องLINE เพื่อพูดคุยเรื่องกองทุน แลกเปลี่ยนความรู้ https://line.me/ti/g2/qBJJsQlZNF2Qc2-tuC6MfOLftB1Iy8dXKszLsg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
.
Cr Set.or.th, setinvestnow , คุณ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอ

เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย :

Jaspreet SinghJaspreet Singh เป็นใคร Founder & CEO at Druva, Inc

ซึ่งเป็นผู้นำในการปกป้องข้อมูลและการจัดการข้อมูลบนคลาวด์ และเป็นนักลงทุน .ทำช่อง Minority Mindset YouTube Channelโดยมีการดูมากกว่า 15,800,000 ครั้งและผู้ติดตาม 370,000 ราย

Jaspreet ได้ให้คำตอบว่า สาเหตุที่มี millionaire หรือเศรษฐีเงินล้านเกิดในช่วงที่เกิดสภาวะ recession สภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมไปถึงช่วง market crash เป็นเพราะ ในช่วงดังกล่าว จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากเกิดความกลัว แล้วพวกเขาก็จะพากันเทขาย assets หรือทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ คริปโตฯ ทองคำ หรือทรัพย์สินอะไรก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ณ ขณะนั้น

ซึ่งมันคือโอกาสของคนที่มีเงินสดอยู่ในมือ คนที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่มีความรู้ทางด้านการเงิน มีความรู้ในสิ่งที่จะลงทุน ในการช้อนซื้อทรัพย์สินดังกล่าวในราคาที่ถูกกว่าราคาที่มันควรจะเป็น เพราะในช่วงเวลาที่ผู้คนเกิดความกลัวนั้น พวกเขาจะแย่งกันเทขายในราคาที่ถูก เพื่อให้ขายออกไปได้ไวที่สุด

ซึ่งการเข้าซื้อ การเข้าลงทุนในทรัพย์สินดังกล่าว ก็จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ดี ไม่ใช่ราคาลงเพราะบริษัทดังกล่าวล้มละลาย แต่เป็นเพราะราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าว ถูกตลาดกดดันให้ราคาหุ้นตกต่ำลง ในขณะที่บริษัทดังกล่าว ก็ยังคงมีผลประกอบการที่ดีอยู่.ดังนั้นสภาวะฟองสบู่แตก สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นั้น จะมีผลโดยตรงกับผู้คนที่ไม่ได้เตรียมตัว ผู้คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเงิน เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ.ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก www.blueoclock.com/

X