กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต
การที่ตลาดหุ้นไทยลดลงประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นช่วงที่น่าสนใจ แล้วหลายคนคงจะทราบไว้แล้วว่าการเกิดวิกฤตทุกครั้งนั้นก็เป็นโอกาสเสมอเช่นกัน เราจะมาคุยกันว่าแล้วอะไรที่เป็นปัจจัยในการที่เราจะเลือกว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือยัง
.
ข้อที่ 1 เราจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่
คือ ณ เวลานั้นควรจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ยกตัวอย่างนะครับ เราสามารถเอาตัวปันผล โดยสามารถเอาราคาผลตอบแทนปันผลที่เราคาดหวังไว้มาลบกับเงินฝากหรือผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นกับตราสารหนี้นั้นจะมีความต่างกันอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ดังนั้นถ้าต่ำกว่า 2% คนก็อาจจะไม่เลือกลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าเพราะว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ถ้าเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆคนก็จะสนใจหุ้นมากกว่าเนื่องจากอาจยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า
.
ข้อที่ 2 ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและไม่หมดอายุ
เพราะเราต้องมองว่าถ้าอยู่ในวิกฤตเราต้องเอาไว้แลกเปลี่ยนเพื่อใช้จ่าย เพราะว่าบางครั้งวิกฤตก็อาจจะยาวนาน
.
ข้อที่ 3 ควรจะกระจายสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสม
เพราะในช่วงวิกฤต มักจะมีผลกระทบไปในหลาย Sector อยู่ในหลายธุรกิจ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะทำกับกันหลังจากผ่านพ้นวิกฤตไปแล้วได้จากธุรกิจก็ดีขึ้นไม่พร้อมกัน ในหุ้นกระจายในหลายอุตสาหกรรมหรืออาจจะหุ้นหลายตัวหน่อย
.
ข้อที่ 4 ควรจะเลือกสินทรัพย์ที่มีปันผล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว
พอดีช่วงวิกฤตนั้นกระแสเงินสดจากการลงทุน ก็ควรจะต้องมีด้วย เพราะจะได้มีกระเเสเงินสดนำมาใช้จ่ายในช่วงนี้ เช่นกัน
.
ข้อที่ 5 ควรจะต้องบริหารความเสี่ยงของราคาด้วย
เราไม่สามารถรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดต่ำสุดของราคา แต่เราสามารถใช้วิธีการ DCA เป็นการซื้อเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลา เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
ในอดีตที่ผ่านมาวิกฤตละครั้งใช้เวลามากน้อยและการลงเป็น%นั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญและมองเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในช่วงวิกฤตนั้นเอง
หุ้นเข้าโซนอันตราย กลุ่มไหนยังมีอนาคต?
ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก รวมหลาๆวิกฤติในช่วง 100 ปี ทั้งโรคระบาด และสงคราม มาฟังแนวคิดของ อ นิเวศ ว่าประเมินอย่างไร ใช้กลยุทธ์แบบไหน
ตลาดหุ้นในช่วง 2009 2019 ที่ผ่านมาวิ่งขึ้นมาสูงมากเนื่องจากภาวะที่เอื้ออำนวยจาก
ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจเติบโต สภาพคล่องสูง นักลงทุนรายย่อยเข้าสูง
ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2009 2019 ครบ 10 ปีมักจะมีวิกฤติ แต่ก็ไม่เกิดวิกฤติ แล้วต่อมา เกิดวิกฤติโรคระบาด
แต่หุ้นตกมาสั้นมาก แทบไม่เป็นวิกฤติ ทุกประเทศเร่งอัดฉีด
และเกิดฟองสบูในหุ้น Hitech ทุกคนเปลี่ยนความคิด ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
สิ้นปี 2021 ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปพีค และทำสถิติใหม่
แต่จากปัจจัย ทันทีทันใดเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน และ supply ขาดแคลนจากการปิดเมืองโดยเฉพาะประเทศจีน
ทำให้ภาพเปลี่ยนราคาสินค้าโภคภัณฑ์วิ่งทั่วโลก และกระทบราคาอาหาร และเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อสูง ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีทั่วโลกตกเละเทะ
Nasdaq ตก 14%
ดัชนีที่ขึ้นไม่มากอย่างไทยลงไม่มาก หุ้นบ้านเราเป็น value
เวียดนามตกไป14% ใกล้เคียง Nasdaq
หุ้นจีนตกไม่มาก เพราะขึ้นน้อย
เข้าไปดูใส้ในของตลาดหุ้นไทย ไทยมีตลาดตัวเล็กตัวกลางที่เก็งกำไรหนัก แต่พวกนี้มีผลต่อดัชนีน้อย
เราไม่รู้อาจจะลงต่อหรือเปล่า ลงมากพอหรือยัง ต่อไปต้องจับตาว่าจะเป็นวิกฤติหรือเปล่า
หุ้นถ้ามองย้อนหลังตั้งแต่ปี 2009 โตมาเรื่อย ๆ ตกนิดหน่อยตอนโควิท และขึ้นไปจุดสูงสุดใหม่ และลงมาแต่ยังสูงกว่าก่อนโควิท 20-30% โอกาสที่จะลงมาต่อยังมี ถ้าเป็นวิกฤติ
รอบนี้ถ้าวิกฤติจะเกิดอย่างไร
รอบนี้เงินยังมีแต่ค่อยๆงวดลงใช้เวลาหลายปี ทำให้ดูลำบาก และตลาดไม่ตกใจ
โอกาสในการทำกำไรคือวิกฤติที่หุ้นตกเยอะๆ แต่ตอนนี้นี้หุ้นยังไม่ตก คน long term ไม่รู้ซื้ออะไร
หุ้น value ก็ไม่ตก แต่เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น growth
หุ้น growth ก็ไม่ได้ตกแรง จน PE น่าสนใจ
ปัจจัยที่กระทบตลาดหุ้น ตัวที่ชัดที่สุดคือ เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย เม็ดเงิน
พอกลับทางน่ากลัวเพราะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น และลดปริมาณเงิน
ถ้าอเมริกาเอาไม่อยู่คือพัง
เวลานี้การใช้นโยบายการเงินของ เฟตเหมือน ศิลปะในจับปลาก็ต้องผ่อนเบ็ด ให้ค่อยๆลง แรกเกินไปก็ลงหนัก
แต่ตลาดหุ้นอาจจะขึ้นได้จากการฟื้นตัวหลังโควิท แต่หลังจากนั้นจะโตอย่างไร
ความมั่นใจมีไม่สูง ถ้าไม่โตต่อก็ลดพอร์ทลงไป
ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอิ่มตัว ทำให้หุ้นไทยไม่ค่อยไปไหนมา 7 ปีแล้ว
ปกติตลาดปั่นป่วนไม่ค่อยทำอะไร หาหุ้นที่จ่ายปันผลดี ธุรกิจไม่กระทบเงินเฟ้ออะไรมากมาย
กิจการใช้ประจำวัน ไม่มีคู่แข่งใหญ่
ระวังหุ้นที่โตช่วงโควิท
โรงพยาบาล ยาว โตดีช่วงโควิต แต่หลังจากนั้นเหมือนเดิม
ภาวะวิกฤติแบบนี้มีวิธีคิดอย่างไร
Value เน้นดูความแข็งแกร่ง และยังโตได้อีกนาน
เศรษฐกิจ 3 เงินเฟ้อ 3 รวมๆโต 6% ก็ดีแล้ว
PE 50-60% ไม่เอา
อ ไปซื้อหุ้นเวียดนาม เพราะรู้สึกเป็นโอกาส หุ้น super stock ของเวียดนามหลายตัว PE ไม่สูง
ตอนนี้มารเกตแคป 100,000 ล้าน ของไทย 500.000 ล้าน อนาคตน่าจะโตกว่าไทยเพราะคนเยอะกว่า
ซื้อทิ้งไว้เหมือนเดิม
เวียดนามได้ปันผลแง่%ดีกว่าไทย แต่เม็ดเงินน้อยกว่า
ตลาดหุ้นไทยไม่รู้จะเกิดวิกฤติหรือเปล่า แต่ยังถือว่าดีกว่าถือเงินสด
หุ้นกู้เริ่มดี ดอกเบี้ย4% เริ่มมา
หุ้น growth stock ยังอยู่ได้ เพราะหุ้นถือ conner เยอะมากเพราะเขายังไม่ปล่อย ไม่เขื่อนแตก
หุ้นไทยกลุ่มไหนดีสุด
มั่นใจสุดคือค้าปลีกเพราะสะท้อนเศรษฐกิจไทย พวกนี้มั่นใจว่าตามเศรษฐกิจ
ผู้ชนะจะกินตลาดได้เยอะมาก
ธนาคารทุกคนใช้แต่จะมี moment เรื่องหนี้เสีย
พลังงานมีความผันผวน
วัสดุก่อนสร้างเกี่ยวกับคน ถ้าคนใหม่เกิดน้อยลง รัฐไม่ลงทุน
โดยรวมแล้ว อ นิเวศน์ มองว่าตลาดความเสี่ยงสูง แต่ถ้ากิจการเสี่ยงไม่สูงก็อยู่ได้ และไปลงทุนต่อยอดหุ้นsuper stock ในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างเวียดนาม
ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=PbZ7gebmVPE
สรุปแนวคิด วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ประชุมผู้ถือหุ้น 2022
สรุป บทสัมภาษณ์ของ วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ในการประชุมผู้ถือหุ้น และการวิเคราะห์โดยคุณ art จากเพจ club vi ที่ช่วยขยายความคำพูดของทั้งสองว่ามีนัยยะอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจแนวคิดของเซียนหุ้นทั้งสองได้ลึกขึ้น เชิญอ่านโดยพลัน
1.กลับมาช้อนหุ้น
ปีนี้ ปู่ซื้อหุ้นจัดหนักมาก 4 เดือนซื้อไป 3.4 ล้านล้าน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแบบ old school น้ำมัน เชฟร่อน HP ไม่ใช่เทคล้ำๆแบบที่กำลังฮิตกัน
หลายคนบอกว่าปู่แกตกยุค แต่ปู่ไม่เคยเปลี่ยนกลยุทธ์ สุดท้ายปู่ก็สามารถทำผลตอบแทนไปได้เรื่อย ๆ
การตามกระแสเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบ พอกระแสมาก็จะตามกระแสแล้วลืมสิ่งที่เรารู้
2.มุมมองเรื่อง Bitcoin
ชาลี มังเกอร์ ปีนี้จัดหนัก มังเกอร์พูดว่า ชีวิตเหลีกเลี่ยง โง่ ชั่ว ทำให้ตัวเองดูแย่
- โง่เพราะมีโอกาสเป็น 0
- ชั่ว เพราะทำลายกระบบอัตราแลกเปลี่ยน
- ทำให้ตัวเองดูแย่เพราะ ทำทั้งสองเรื่องนี้
ส่วนปู่ ก็มองเหมือนทองคำ ที่ปู่แกก็ไม่เคยซื้อเหมือนกัน เพราะไม่เป็น productive asset สินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล เหมือน บริษัทขุดน้ำมัน ไร่ นา ที่มีผลิตผลมาเรื่อยๆ จะได้กำไรก็ต้องซื้อไปแล้วมีคนมาขอซื้อในราคาที่สูงกว่า
3.ยุค Tribal การแห่ตามกระแส
วอเร็นไม่เคยเห็นยุคไหนที่ การแห่ตามกระแสชัดขนาดนี้ เข้ามาทำอะไรตตามๆ กันแล้วเจ้งไปตามๆกัน เช่น tech stock
โดนกรอกหู้ซ้ำๆ ไปทำตามแล้วก็เจ้ง จงเชื่อ่ในตัวเอง อย่าให้คนอื่นตัดสินเรา
4.หุ้นเทคจีน
ชาลี มองว่าตลาดจีนหาหุ้นที่ดีในราคาถูกได้ แต่มีความเสี่ยงทางการเมือง ส่วนปู่ไม่พูดอะไร
5.การจับจังหวะตลาด
ไม่แนะนำให้จับจังหวะตลาดเป็นสิ่งที่มีมีประโยชน์
ปู่ยังทำแบบที่ทำมาเสมอคือ กล้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัว
แต่ที่ทายถูกเสมอ เช่นปี 2008 ย่ำแย่ไปหมดปู่ก็เข้าไปซื้อแล้วได้กำไร
2020 คนอื่นกำลังโลภ วอเร็นกำลังกลัว
6.ปู่บอก เศรษฐกิจ อเมริกาดี ปู่ bias ไปหรือเปล่า
ปู่ไม่ได้ เชียร์ เฉพะ อเมริกา แต่ก็เคยเชียร์จีน ยุโรป ด้วย
ส่วนจะดีต่อไปไหม ปู่อย่าเดิมพันตรงข้ามอเมริกา การลงทุนในประเทศผู้ชนะดีเสมอ
ถ้ากลัว bias ให้มอง เร ดาริโอ ที่มองแต่ละประเทศจะสลับกันเติบโต และ cycle ของอเมริกาเริ่มทำจุดสูงสุด
คุณ art club vi มองว่า คนอเมริกายัง innovative เศรษฐกิจยังไปต่อได้ แต่ไม่แน่ cycle อีก 10-20 ปี บริษัทจากจีนอาจชนะก็ได้
7.สิ่งที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวเอง
ลงทุนในสิ่งที่คุณชอบ มีสิ่งที่ทำให้คุณดีขึ้นเรื่อย แล้วผลลัพทจะดีเอง
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักลงทุนที่ดี ถ้าลงทุนไม่เก่ง ก็ชื้อกองทุนดัชนีไป สุดท้ายคุณก็รวยได้เหมือนกัน
คุณ art เคยทำสถิติส่วนตัว ถ้าลงทุนในกรอบ 30 ปีที่ผ่านมาได้ 2000% ไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็ตาม
8.ปู่ สนใจซื้อบริษัทท่างชาติไหม
ปู่บอกว่าเปิดสำหรับทั่วโลก แต่ขนาดต้องใหญ่พอ
ปู่ชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคย นานๆทีจะซื้อในต่างประเทศ เพราะในประเทศอเมริกาก็ยังซื้อได้ เป็นขอบข่ายชำนาญทางภูมิศาสตร์
9.เงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเกิดจาก suppy disruption ระหว่าง covid หลายบริษัทก็ ลดคนงาน ลดกำลังการผลิต อุปทานไม่ทันอุปสงค์ ท่าเรือเต็ม ตู้ข่าด ไม่ได้เกิดจากเงินเข้าในระบบ
ปูบอกว่า เงินเฟ้อส่งผลเสียจริงๆ สมมติค่าเงินลดลง 90% ทุกธุรกิจเจ็บปวดหมด ยกเว้นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนต่ำ เพราะสามารถขึ้นราคาได้ แต่ก็หายาก
- เงินสด
Berkshire เก็บเงินสดไว้เยอะ เหมือน ออกซิเจน แต่ถ้าอากาศไปเราจะรู้สึกทันที
แม้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปมากมาย แต่เราจะมีเงินสดไว้เสมอ
11.อยากบริหารบริษัทให้ได้แม่ว่าระบบการเงินล่มสลาย
ลงทุนในบริษัทอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ชอบโค้กเพราะต่อให้ตลาดหุ้นปิดไป10ปี โค้กก็ยังบขายได้อยู่
จะเห็นว่าคำพูดของปู่ช่างคมคายยิ่งนัก และยิ่งมีคนที่ตามงาน ปู่มานานมาอธิบาย ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้ง
ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=VRP1igh6gyA
หุ้นเวียดนามจบรอบแล้วหรือยัง
เห็นหุ้นเวียดนามลงมาเยอะ มาฟังความเห้นจากจาก ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และคุณชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ จากบัวหลวงครับ ว่าภาพระยะสั้นและระยะยาวเป็นอย่างไร และหุ้นหรือกองทุนกลุ่มไหนที่จะได้ประโยชน์ในระยะยาว
สำหรับการลงในช่วงนี้ ดร นิเวศน์มองว่าเป้นการปรับตัวทางเทคนิคตามอเมริกาที่ลงหนัก แต่ ระยะยาวเวียดนามยังไปได้อีกเยอะ
ถ้าประวัติศาสตร์ ตลาดเวียดนามเป็นประเทศเกิดใหม่ โตไว ญี่ปุ่น ไทย เวียดนนาม
พบความจริงว่า ตลาดหุ้นของท้ง 3 ประเทศ ประเทศพวกนี้จะเติบโตยาวมาก เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 40 ปี
หลังจากนั้นจะ Maturity และ Decline 20 ปีแรกจะโตไวมาก 20 ปีหลังจะชะลอลง แต่ก็ยังโต หลังจากนั้น decline
ญี่ปุ่น เริ่มเปิดตลาดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 4 ปี 1949 ผ่านไป 22 ปี ดัชนีชึ้นจาก 100 ไป 2,700 โตปีละ 16% จากนั้น 18 ปี 2700 – 37,000 20 ปีหลัง 15.7
พอครบ 40 ปี all time ใน 1971 32ปีหลังจากนั้น 37,000ลงมา 27,000 ลบมา 1% ทุกปี
สำหรับประเทศไทย เปิดตลาดปี 2518 ผ่านไป 22 ปี โตปีละ 10% กว่า 2539 ไปพีคที่ 1500 เกิดวิกฤติ ใช้เวลา 18 ปีถึงปี 2557 หุ้นโตแค่ 2.8% 40 ปีหุ้นเราโต 7% บวกปันผล 2-3% เป็น 9%
พอ 2557 ครบ 40 ปี หลังจากนั้น 7 ปี หุ้นโตปีละ1% กว่า
เวียดนามเปิด 22 ปี เปิด 2000 ปีนี้ 2022 ขึ้นมา 12.6%
เวียดนามอีก 18 ปีต้องไปได้อีก เวียดนามตอนนี้ไม่เหมือนเมืองไทย
ชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ
ในระยะสั้นน่ากลัวหรือเปล่า กองแต่ละกองมีการเปิดไปเวียดนามเยอะมาก สะท้อนภาพอะไร
คุณชัยพรบอกว่า เหตุการของเวียดนาม ย้อนไปเหมือนช่วงที่เรียนจบเข้าตลาดหุ้น
เริ่มเข้าตลาดหุ้น 2535 เข้ามาตลาดหุ้นอยู่ 600 จุด ฟื้นตัวจากสงครามตะวันออกกลาง ไทยถูกมองว่าเป็นเสือตัวที่ 5
ตลาดหุ้นไทยคึกคักมาก มีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามา
กำลังเทรดอยู่ดีๆ มีข่าวให้ตลาดปรับตัว คือการจับเรื่องการปั่นหุ้น
ถ้าดูโครงสร้างของนักลงทุนเวลานั้น ส่วนใหญ่เป้นรายย่อย สถาบันไม่ค่อยมีบทบาท
แต่ปัจจุบันสถาบันและต่างชาติ มีสัดส่วนสูงข้น
เวียดนามกำลังเจอแบบเรา ที่รายย่อยล้วนๆ และมีเรื่องของการจับการปั่นหุน
เกิดจากเวียดนามพยายามปรับโครงสร้างมาตรฐาน กฎระเบียบให้เป็นสากล
เพื่อปรับจาก frontier market ให้เป็น emerging market
สมัยนั้นที่ไทย คนแห่ขายเพราะไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองกำลังเทรดจะโดนการตรวจสอบปั่นหุ้นหรือเปล่า
กระจายเป็นโดมิโนไปหุ้นหลายตัว เหตุการนั้นกระทบประมาณ 3 เดือน
สุดท้ายก็ไปที่การเปิดระบบการเงิน กู้เงินต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ทำให้หุ้นข้นเป็นรวดเดียวเกือบ 800 จุด
สำหรับตลาดหุ้น เวียดนามหลุดค่าเฉลี่ย 200 วัน
เกิดจากเวียดนามเอาจริงเรื่องปั่นหุ้น เพราะตรวจเจอปุ้บจับติดคุกเลย
หุ้นเวียดนามส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ประกอบกับเวียดนามปีที่แล้ว ขึ้นมาเยอะ เป็นโอกาสเลยแล้วกันที่จะ เทกกำไร
กองทุนต่างๆ พยายาม ระดมทุนไปลงทุนในเวียดนาม เป็นเรื่องปกติ ที่เห็นประเทศไหนโดดเด่นมาก ก็จะดึงดูดความสนใจ นักลงทุน และกองทุนออมาเยอะ ตรงกับการขายทำกำไรพอดี
คนลงทุนไนเวียดนามเข้าใจภาพระยะยาว ว่าเป็นเหมือนเมืองไทนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว
ในยุคนั้นสถาบันการเงิน และอสังหาเป็น sector ใหญ่ เพราะประเทศไทยอยู่ในช่วงของการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
โครงสร้างคนส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุน้อย ในขณะที่ประเทศไทยเข้าสังคมผู้สูงอายุ
เวียดนามสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน รถไฟฟ้าเพื่อรองรับการขนส่ง
ถ้ามองทั่วเลขเศรษฐกิจ Gdp ขยับขขึ้นมาเรื่อยๆ เกิน 6%
เงินเฟ้อยังไม่สูงจุดพลุขึ้นไป สิ่งที่น่าสนใจ การส่งออกและการนำเข้ายังโตในระดับดีมาก
Current account เป้นบวก ตรงข้ามกับไทยที่สมัยนั้นติดลบมาตลอด
เพราะเห็นบทเรียนจากประเทศไทยเพราะจะเป็นจุดอ่อนในการโจมตีเรื่องคาเงิน
เรื่องค่าเงินสมัยก่อน เราเห็นค่าเงินเวียดนาม สวิงมาก
ผานมา 3 ปี ค่าเงินเวียดนามนิ่งมาก แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการ
ตอนนี้เวียนนามกำลังรวมตลาด 2 แห่งของเขา
โครงสร้งของ vn30 ส่วนใหญ่เป็น ธนาคาร และอสังหา และ commodity
เหล็ก เวียดนามคือช่วงสร้างบ้านเสร้างเมือง เหล็กจะเจริญเติบโตได้ดี
เลยออกตัว Diamond เพราะอันดับ 1-2 ของกลุ่มเป็น การเงิน และค้าปลีก สะท้อนการสร้างบ้านสร้างเมือและการบริโภค
ดรนิเวศน์
เทคโนโลยีก้าวข้ามอย่างโทรศัพท์ข้ามเป็นมือถือเลย
หลายเทคโนโลยีข้ามไม่ได้ เพราะเวียดนาม ภูมิประเทศเหมือนไทย คนไปเพราไปตากแอร์ ไปทำอะไรที่เดียวจบ
เทคโนโลยีเวียดนามจะไปไวกว่าไทย เพราะใหญ่พอ และสังคมนิยม รัฐบาลมีอำนาจพอสมควร
Spg ทำโปรแกรมขายทั่วโลก ทำแทบไม่ทัน ต้องไปเปิดมหาวิทยาลัยของตัวเอง นักศึกษาท่วม
vinfast ไปสร้างรถไฟฟ้าที่อเมริกา ที่กลับมาขายอเมริการและกลับมาเวียดนาม
คล้ายๆเกาหลี ที่ผลิตมาขายแข่งเลย ต้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
ดร เน้นลงทุนในอะไรที่แน่นอน โรงไฟฟ้า และค้าปลีก
เพราะหลายประเทศไปลงทุนที่เวียดนามเพราะชดเชยจากจีน เพราะ productivity ดีกว่า
เจริญเพราะนักลงทุนต่างเทศ ต้องการแรงงาน แรงงานก็ไปบริโภค ซื้อบ้าน เดินห้าง
การท่องเที่ยวต่อไปจะดึงคนเข้าไปเที่ยว
ดูแล้ว 18 ปีข้างหน้าสบายๆ ทุกวันนี้ส่งออกมากกว่าไทยไปแล้ว จะแซงประเทศไทย
สัดส่วนส่งออกต่อ gdp มากกกว่าไทย
ส่งที่พัฒนาตอนนี้เป็นการส่งเสริมอนาคต เป็นการลงทุน ไม่ใช่การอัดฉีดให้ใช้จ่าย
คนจะขยับจากต่างจังหวัดมาไทย มากขึ้นเหมือนกันไทย
สนใจโรงไฟฟ้า และค้าปลีก ขอบริษัทที่กำไรไม่จำเป้นต้องเป็นผู้ชนะ แต่ค้าปลีกต้องเป็นผู้ชนะ
ต่อไปจะมากกว่าไทย เนื่องจาก sme ไม่ค่อยแข็ง เพราะ sme หายไปช่วงเวียดนามใต้แพ้
ส่วนใหญ่เป้นรายใหญ่มาเลยกำลังแข่งกัน ยังไม่มีผู้ชนะชัดเจน
sector ที่จะเป็นผู้ชนะมีมากกว่าไทย
โรงพยาบาลยังมีไม่เยอะ
ผู้ให้บริการมือถือ มีของหลวงยงไม่โดดเด่นขนาดนั้น
ซื้อ Diamond ต่างชาติที่อยากซื้อ เป็นหุ้นแนว super stock
ชัยพร
ทำไมต่างชาติขายเวียดนาม
จริงเวลาพูดถึงต่างชาติ คนไทยไปเวียดนามก็คือฝรั่ง
ปีที่แล้วลูกค้าบัวหลวงก็เยอะ และเทคกำไรบางส่วน ในระยะสั้น
Pe ของตลลาด กำไรโตกว่าปรเทศไทย แต่ PE 15 เท่า
การที่ตลาดลงแต่ กำไรไม่ลง แสดงว่าถูกลง
เวียดนามมองว่าระยะสั้น เหมือนไทยคือโดนโควิทมาด้วยกัน
การบริโภคก็คล้ายประเทศไทยต้องใช้เวลา กว่าจะกล้ากินข้าว และท่องเที่ยว
เวียดนามพอโควิทไม่ขึ้น การเดินทางเริ่มกลับมา ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวของการบริโภค
สิ่งต่างๆเหล่านี้กำลังกลับมา
ก่อนหน้านี้คนเดินห้างน้อย ก็ต้องลดค่าเช่า ให้ร้านพวกนี้ยังอยู่
เวลาต่อไปเริ่มปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น
ตลาดอาเซียนปีนี้เล่นดีมาก
ของไทยนักลงทุนมีความรู้มากขึ้น กองทุนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดหุ้น มีผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสเถียรภาพมากขึ้น
และรอบเศรษฐฏิจที่ ช้ากว่าฝังอเมริกา นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา
กองทุน Diamond pe 15 เท่า ต่ำกว่า growth ไม่เหมืนประเทศไทยที่ ถ้าเจอหุ้นที่เติบโตสูง pe จะสูงกกว่า growth
ขณะเดียวกัน growthที่เกิดขึ้นจะอิ่มตัวประมาณเมื่อไร สำหรับประเทศไทย กำไรที่ลดลงเกิดจากโครงสร้าประชากรที่เปลี่ยนแปลง
ถ้าย้อนไปดู 2015-2020 การเตบโตของกำไรแทบไม่เติบโตมากแล้ว แต่ก่อนโตจาก การลดภาษี และการอุดหนุนสินค้าเกษตร
ทำให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อไม่ได้ ทำได้แต่ rotation แต่ ดัชนีไม่ไป
แต่เวียนดนามไม่เห็นภาพนั้น เพราะการเติบโตของกำไรยังไปได้ 10-12 ได้ต่อ
ความเสี่ยงเรื่องนโยบายนาจะน้อยกว่า เพราะเศรษฐกิจใหญ่ทุกคนต้องเอาใจ ทุกวันนี้โตจากการเปิดประเทศ โดยเฉพาะตะวันตกที่นำเข้าสินค้าเยอะ
โดยรวมแล้วยังเห็นอนาคตของประเทศเวียดนามที่ยังไปได้อีกยาว จากโครงสร้างประชากร และการขยายตัวทางเศรษฐกิจการจากลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อคนมีเงินก็จะเริ่มใช้จ่าย หุ้นค้าปลีกก็จะมาต่อไป
สรุปหนังสือใหม่ Ray Dalio วิธีรับมือระเบียบโลกในอนาคต ตอนที่ 1
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนระเบียบโลกมันเกิดจากอะไร เราจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดีได้อย่างไร คุณเชื่อไหมครับว่าแพทเทิร์นการขึ้นมาและทดถอยของแต่ละประเทศนั้นมันคล้ายกันหรือแทบจะเหมือนกันเลยมันมี Pattern เหมือนกัน ภาพภูเขาจะบอกว่าไม่ว่าจะประเทศอะไรก็ตามในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ มันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเชิงรายละเอียด ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามจะถอดรหัสว่า
.
1.มันรุ่งหรือมันร่วงได้อย่างไร
2.แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเราจะรับมือกับมันและเตรียมตัวได้อย่างไร
3.นักลงทุนควรทำอย่างไร เมื่อระเบียบของโลกมีการเปลี่ยนแปลง
.
หนังสือเล่มนี้จะมีการพูดถึงบิ๊กไซเคิล จะบอกว่าสัญญาณชีพที่จะบอกว่าแต่ละประเทศ เป็นมหาอำนาจและกำลังจะจบลง มันเกิดจากอะไรและแพทเทิร์นนี้เป็นอย่างไร คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบในอนาคตของโลกจะแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามจะมีแพทเทิร์นที่คล้ายกันอย่างแน่นอน คุณเรยดาลิโอได้เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมาอย่างยาวนานแล้วเขาเองก็ได้เจอประสบการณ์ที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังถึง 500 ปีย้อนหลัง
ในปี 1971 สหรัฐอเมริกามีเงินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ ตอนนี้สหรัฐนั้นได้ผูกเงินกับทองคำ เงินดอลลาร์จะมีค่าเพียงสามารถนำมาได้เป็นทองคำได้หรือมันแค่เช็คเท่านั้น เพราะตอนนั้นทองคำคือเงินที่แท้จริงนั้นเอง สหรัฐนั้นจะใช้เงินไปมากและมีทองคำไม่เพียงพอจากปริมาณเช็คเงินที่ได้ใช้เอาใช้นั้นเอง และหลังจากนั้นเองคนที่เงินดอลลาร์ก็รีบเอาเงินไปแลกทองคำเพราะกลัวว่าจะไม่มีทองคำให้ ในเย็นวันที่ 25 สิงหาคม ประธานาธิบดีริชาร์ดนิกสัน ได้ออกโทรทัศน์และพูดเป็นนัยๆว่าสหรัฐกำลังจะเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเรียกว่า Nixon shock แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกดอลลาร์ผูกกับทองคำ ตอนนั้นคุณคุณเรยดาลิโอ้คิดว่าตลาดหุ้นต้องดิ่งเหวแน่นอน ตลาดหุ้นก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มันน่าประหลาดใจมากเพราะเขาไม่เคยเจอกับการลดค่าเงิน เขาจึงไปค้นประวัติศาสตร์แล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแม้แต่ในอเมริกาเองก็ตามเกิดขึ้นในปี 1933 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ตอนนั้นทองคำก็ผูกกับดอลลาร์แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกการผูกขาดเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายได้อย่างมากขึ้นเพียงแค่พิมพ์เงินออกมา และเนื่องจากความมั่งคั่งของประเทศนั้นก็ไม่ได้มากขึ้นตามจำนวนธนบัตรที่มากขึ้น ทำให้คุณค่าของเงินดอลล่าแต่ละดอลล่ามีลดลงเรื่อยๆ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นไปดันในหุ้นและทองคำขึ้นเป็นจำนวนมาก คุณเรยดาลิโอ้ ได้ค้นพบถอยย้อนไปมากๆก็ได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต จากประเทศที่เป็นผู้นำ ณ ช่วงเวลาต่างๆเนื่องจากมีการใช้จ่ายมากกว่าภาษีที่เก็บได้นั่นเอง ซึ่งทำให้ราคาสินค้าชนิดต่างๆได้สูงขึ้นนั้นเอง
คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางนั้นพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากให้คุณซื้อหุ้นทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเอง คุณต้องเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต คุณเรยดาลิโอ้จึงศึกษาฟองสบู่จากในอดีตมาเรื่อยๆทำให้คุณเวลาเท่านั้นทำกำไรได้อย่างมากมายและรอดพ้นจากวิกฤตในช่วง 2008
.
3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก คือ
.
- หลายประเทศไม่มีเงินเพียงพอจะชำระหนี้จึงต้องพิมพ์เงินออกมาแม้จะลดดอกเบี้ยเหลือ 0 แล้วก็ตาม
. - มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเนื่องจากช่องว่างของความมั่งคั่งและความเชื่อทางการเมือง
. - มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นจากภายนอกระหว่างชาติมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นและชาติมหาอำนาจที่กำลังจะถดถอยลง ปัจจุบันก็คือจีนกับสหรัฐนั่นเอง
เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบของโลกซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงปี 1930 1945 ในช่วงที่ใกล้ที่สุด
ระเบียบโลกคืออะไร ระเบียบโลกคือระบบการปกครองที่ทำให้ผู้คนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ละประเทศก็จะมีแบบภายในเป็นของตัวเอง แล้วมีระเบียบจากข้างนอกด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นระเบียบจะภายในหรือภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสงคราม เช่นรัสเซียเกิดการปฏิวัติการปกครอง จีนเองสมัยเหมาเจอตุงก็เช่นกันคือพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาล้มระบบเก่า ก็คือที่เรียกว่าอำนาจใหม่นั้นชนะอำนาจเก่า
แต่ยุคที่พวกเราอยู่นั้นเกิดมาก็คือยุค ระเบียบโลกของปัจจุบันก็คือสหรัฐอเมริกา ระบบการเงินของโลกปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ที่เรียกว่า Bretton Wood คือระบบที่ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
ราคาดอลลาร์นั้นเป็นเงินสกุลหลักของโลกในการเป็นทุนสำรองนั่นคือเงื่อนไงที่ทำให้ประเทศนั้นเป็นมหาอำนาจของโลก ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เรียกว่า Big Cycle
คุณเรยดาลิโอ้ได้ศึกษา 10 จักรวรรดิที่รุ่งเรืองตลอดมาในโลก เช่น ดัช เหรียญ กิลเดอร์
อังกฤษ เหรียญ Pond มีความยิ่งใหญ่ถดถอยและมีการขึ้นมาแทนเสมอๆเป็นต้น
วงจรหนึ่งนั้นกินเวลาประมาณ 250 ปี และมีช่วงซ้อนทับประมาณ 10-20 ปี และโชคดีคือเราอยู่ในช่วงนี้ครับ
มี 8 มาตรวัดในการดูว่า ชาติใดเป็นมหาอำนาจ
1.เรื่องการศึกษา - นวัตกรรมและเทคโนโลยี
- ความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
- ผลผลิตทางเศรษฐกิจ
- ส่วนแบ่งทางการค้าของโลก
- ความเข้มแข็งทางการทหาร
- ความแข็งแกร่งทางการเป็นศูนย์กลางทางการเงินสำคัญของโลก
8.ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ในฐานะสำรอง
มาตรวัดเหล่านี้เมื่อทำมาแล้วให้ทำด้วยวิธีการหาค่าเฉลี่ยถ้าประเทศไหนมากสุดประเทศนั้นก็คือมหาอำนาจ สามารถมองเห็นได้ว่าประเทศไหนมีโอกาสทั้งอัดขึ้นและประเทศไหนกำลังจะถดถอยลง การศึกษาที่ดีพัฒนาไปสู่การสร้างเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมาตรฐานดีก็ก็จะนำไปสู่ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง แล้วมีผลลัพธ์ตามมาตรวัดทั้ง 8 อย่างนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ รายการถดถอยนั้นก็ลง 8 อย่างคล้ายๆกัน
ช่วงไหนที่มีช่วงรุ่งเรืองมากๆ ในช่วงที่มีความสงบคนก็อยู่สุขสบายแล้วมีการเดิมพันมากเรื่อยๆ กูยืมเงินต่อไปเรื่อยๆเพื่อนำมาพนันกับความรุ่งเรืองต่อไปอีก ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าการนำไปสู่ของสบู่ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งนั้นหรือสกุลเงินหลักนั้นก็ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน เขาจะเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง ระหว่างคนรวยและคนจนที่ห่างกันออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้น พอฟองสบู่แตกก็จะนำไปสู่การพิมพ์เงิน และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจักรวรรดิก็จะเกิดความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อเป็นปัญหาภายในมากขึ้นอำนาจของจักรวรรดินั้นก็เริ่มลดลง แล้วก็ถ้าเกิดปัจจัยภายนอกเข้ามาท้าทายอำนาจเก่าก็คืออำนาจใหม่ เป็นปัจจัยภายนอกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเกิดในรูปแบบของสงคราม หลังจากนั้นผู้ชนะก็จะมาเป็นผู้สร้างระเบียบโลกใหม่ ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นย้อนไปได้ถึงจักรวรรดิโรมันเลยทีเดียว ซึ่งเกิดเป็นมหากาพย์ 500 ปี ประเทศก็เหมือนคนมีการเกิดแก่เจ็บตาย
วิธีการดูที่ดีที่สุดคือ Health Indicator เค้าได้ค้นพบว่าประเทศก็มีสุขภาพเหมือนกันซึ่งเขาแบ่งแยกมาเป็น 8 ชนิด
ช่วงเวลา Big Cycle แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 1 รุ่งเรือง 2 รุ่งโรจน์ 3 เสื่อมถอย
ช่วงรุ่งเรือง ผู้นำจะต้องทำ 4 ข้อ
1.มีอำนาจรวบรวมเสียง จากการสนับสนุนเป็นส่วนมาก
2.ลดอิทธิพลฝ่ายตรงข้าม ดูวิธีการต่างๆ
3.จัดตั้งระบบ และสถาบัน ที่ทำให้ประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เช่นรัฐธรรมนูญ
4.ระบบการสืบทอดอำนาจ ให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้บริหารต่อไป
และสิ่งที่สำคัญก็คือประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง แล้วนอกจากความรู้แล้วจะต้องบ่มเพาะอีก 3 บุคลิก
1.บุคลิกของความเข้มแข็ง
- ความมีอารยะ
- ความปรารถนาในการทำงานหนัก
สิ่งเหล่านี้จะเกิดจากผู้นำครอบครัวและศาสนา รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องไม่มีการคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้พวกเค้ามีเป้าหมายปรองดองสามัคคีกันและช่วยผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาผลิตจากสินค้าพื้นฐานและไปผลิตสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีแทน ซึ่งก็คือนวัตกรรมนั้นเอง
สรุปสุดยอดแนวคิด เส้นทาง เซียนฮง กว่าจะถึงวันนี้ผ่านอุปสรรค์มาได้อย่างไร
1.จุดเริ่มต้นการลงทุนในปี 2004 เพราะเห็นเพื่อนเล่นแล้วได้กำไร แต่ช่วงนั้นเกิดจากตลาดเป็นขาขึ้น ซื้ออะไรก็ได้เงิน ทำให้เริ่มต้นจากการหาความรู้ โดยการตั้งคำถามใน webboard thaivi.org (ไปค้นชื่อ login hongvalue ได้ คมทั้งคนถามและคนที่ช่วยกันตอบ )
“
2 ช่วง 1-2 ปีแรก ยังไม่สำเร็จ เริ่มไปทำขายตรง ทำอยู่เกือบปี ไม่สำเร็จจึงกลับมาดูหุ้นจริงจัง
“
- เริ่มจับหลักไม่ถูก ยังไม่เข้าใจธุรกิจ ซื้อๆตามหนังสือเช่น บรษัทดี มีหนี้น้อย สินทรัพย์เยอะ แต่เล่นขาดทุน เพราะธุรกิจไม่ดี หรือธรุกิจเป็นหุ้นรับเหมาไปซื้อตอนกำไรเยอะๆ อีกปี กำไรหายเพราะไม่มีงานน
“ - สำเร็จ 2 องค์ประกอบ 1 อดทนนานพอ 2 อยู่บนเครื่องมือที่ถูกต้อง เหมือเราใช้รถยยก ทำไปเรื่อยๆก็สำเร็จ
. - รู้ได้ไงว่าเครื่องมือถูกต้อง นักลงทุนควรเริ่มจากบัฟเฟตกับปีเตอร์ลินซ์ ถ้าเริ่มจากคนที่กำไรเยอะๆปีเดียว อาจเริ่มต้นผิด เอาโมเดลจากคนที่เงินก้อนใหญ่ และบริหารงานในระยะเวลายาวนาน สะท้อนวิสัยทัศน์ถูกต้อง
มีภูมิคุ้มกัน เริ่มถูกแรกอาจไม่เห็นผลแต่ 2-3 ปีเริ่มจับจุดได้
.
6.แนวคิดสำคัญเช่น หาบริษัทที่มี moat (ทำให้รู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน) หุ้น 6 ประเภท (ทำให้แยกประเภทหุ้นได้ หุ้นที่วิ่งแรงๆประกอบด้วย หุ้น turnaround growth comodity เท่าที่ผมตามมาส่วนใหญ่จะกำไรหนักๆจากหุ้นกลุ่มนี้ )
.
7.วิเคราะห์ธุรกิจไม่ได้มองแค่ตัวเลข แต่ต้องรู้ถึงราก เช่นตัวเลขทางการเงิน ยอดขายมากกว่ามูลค่าตลาด ธุรกิจนั้นเอจเป็น margin ต่ำ, รับเหมาที่ความแน่นอนน้อย, รายได้โตเยอะ แต่ซื้อไปแล้วรายได้ลด
. - เริ่มมองตัวธุรกิจมากขึ้น บริษัทมีความสมารถในการแข่งขัน และเติบโตได้มากกว่านี้
อะไรเป็นวิกฤติของการลงทุน
- เจอว่า market wizard บอกว่าการขาดทุนครั้งใหญ่เกิดตามมาจากการกำไรครั้งใหญ่ตอน คุณฮงบอกว่า ซัพพรามกระทบน้อย หนักตอน 2011 ช่วงน้ำท่วม พอร์ทเละ หลังจากที่ปี 2009-2010 พอร์ทโตไวมาก 20 เท่า
.
11.ขาดทุนหุ้นหลักทรัพย์ ตอนนั้น ไตรมาสแรกกำไรโตเยอะ ก็เอามาคูณ 4 บริษัทชอบจ่ายปันผล 75-80 ของกำไร
กลายเป็นว่ากำไรไตรมาส 2 กำไรหายไปเยอะผิดคาด ราคาหุ้นลงเยอะ ปีนั้นโดนติดกันอีก 4-5 ตัว ทั้ง หุ้น coomo ถั่วเหลือง นิคมไปทำโรงไฟฟ้า
“
12.ตอนสร้างพอร์ทไม่ได้สร้างมาด้วยวิธีแบบนั้น จาก 75 ล้านเหลือ 32 ล้าน พอร์ทลงไปครึ่งนึง
“ - ตลาด 2011 แตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ติดการเล่นกราฟมาจากช่วงตลาดกระทิง
2011 หลุดแนวรับโยนแล้วเป้บเดียวก็เด้ง เข้าใหม่ก็ลงอีก
.
14.ถือ warrant ของอสังหาตัวนึงแล้วอสังหาโดนน้ำท่วม วันที่ซื้อ warrant คิดว่าราคาขึ้น 60 เท่า ผ่านไปอีกปีราคาหุ้นไป 1600% ในปีเดียว
.
15.ได้บทเรียนว่าถ้ามั่นใจในพื้นฐานหุ้น ให้น้ำหนักกับข่าวภายนอกให้น้อยลง ลงทุนหุ้นที่มีความสามารถในการแข็งขันและมูลค่ายังไม่แพงเกินไปก็จะวิ่งขึ้นไปได้ท่ามกลางข่าวพวกนี้
‘
16 2013 ชีวิตการลงทุนสวิงมาก พอร์ทประมาณ 70 ล้าน ใช้เวลาไม่กี่เดือนไป 200 และลงมา 100
พอร์ทลงเร็ว
‘
ความผิดพลาดจากการใช้มาร์จิ้น ไปซื้อหุ้นสื่อสารตัวนึง intuch ประมูล 3G ผ่าน สัมปทานจากเสีย 25% ของรายได้ จะเหลือ 6% มองไม่เห็ฯว่าจะแพ้ยังไง เริ่มซื้อจาก 70 บาทใช้ มาร์จิ้นแบบเต็มที่ หุ้นintuchวิ่งจาก 70-100 แค่ปันผลก็คุ้มมาร์จิ้น
‘
17.แต่พอเล่นไปมองพื้นฐานบริษัทผิด รายได้ไม่โตเพราะ nonvoice โต แต่ voice ไม่โต บริษัทได้ค่าสัมปทาน 6% ต้องให้ลูกค้าย้ายไปใช้ ต้องใช้ค่าการตลาดเยอะมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม กำไรลดลง หุ้นตก และใช้ margin ทำให้พอร์ทลงไปอีก
.. - ประเมินธุรกิจอย่าใส่สมติฐานดีเกินจริง มีคนทักท้วงแต่ไม่เชื่อ งบออกหลังจากที่หุ้นลงไปแล้ว ทำให้รู้ว่าเราคิดผิด
. - สรัทธากับงมงาย จะแยกอย่างไร ถ้าทำการบ้านมาเยอะไม่ใช่ความงมงาย แต่ระหว่างทางถ้าไม่มีแผนการณ์คือความงมงาย สภาพแวดล้อมที่ดี อ่านหนังสือเยอะๆ และอยู่กับคนที่ไม่ทำลายความฝันชาวบ้านจะเอื้อให้เราสรัทธาตัวเอง
.
20.ผ่านได้ด้วย การเปลี่ยชีวิตจากการซื้อหุ้นตัวอื่น คือหุ้น KTC (turnaround จากการเปลี่ยนผู้บริหาร ตั้งสำรองขาดทุนความผิดพลาดเดิม และหลังบ้านสะอาดแล้วธุรกิจโตต่อ)
.
21โอกาสอยู่รอบตัว คลิปโตมีโอกาสมากกว่าตลาดหุ้น แต่ก็มีความเสี่ยง สำหรับคนที่ศึกษาจริงจัง เหรียญี้ทำอะไรได้บ้าง มีกลไกอย่างไร
22 ต้องรู้ว่าเงินที่ได้มาจากเปิดร้านขายของหรือคาสิโน มีคนชวนเข้าคาสิโน แล้วได้เงิน แล้วในไม่กี่นาทีได้ 3-4 เท่า ถ้าคนทั่วไปจะรู้ว่า 3-4 เท่าที่ได้ ไม่ได้มาจาก skill อะไรเลย แบบนี้เข้าข่ายกลัวตกรถ
บทเรียนที่ได้จากอุปสรรค
.
23.มีจิตใจที่หนักแน่น อย่างตอนถือ warrant ตอนน้ำท่วม ไปถือหุ้นแม่ก็ได้ พอเรากลัวทำให้เรากลัวมากเกินไป เราไม่ได้จัดพอร์ทในทางเลือกที่ดีที่สุด
.
24.จากหุ้นสื่อสาร อย่าทำประมาณการการเงิน แบบมี bias โลกความจริง
.
25.การใช้เครื่องมือทางการเงิน ก่อนใช้เข้าใจ่สิ่งพวกนี้แค่ไหน ให้คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดให้ได้ก่อน ดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
.
26 หลักการหา bog short รู้ธรรมชาติธุรกิจ ดูว่าผู้บริหารเก่งหรือเปล่า นักลงทุนต้องเป็นนักวิจัยด้วยตัวเองด้วย
มีข้อมูลมากพอจะพอจับจุดธุรกิจได้ ประเด็นสำคัญต้องระวังอะไร backtest พร้อมกับคู่แข่งไปหลายๆปี
โลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมด ดู 3 ปีแล้วตอนนี้ดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก
คุณพิชัยมองว่าปีนี้จะเหลืออยู่ประมาณ1500จุด จากที่ตอนแรกมองไว้2,000จุด
คุณพิชัยมองว่าการที่เกิดสงครามขึ้นนั้นเกิดจากความบังเอิญดูเป็นระบบประโยชน์เพื่อดันให้ราคาcommodityนั้นขึ้้นไป
ถ้าค่าเงิน US เเข็งมากๆแล้วค่าเงินเอเซียอ่อนมากๆ แบบที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันจะเกิดสภาพที่เรียกว่าอสังหาบูม investment boom การท่องเที่ยวบูม ใน 5 ปี 10 ปีค่าเงินเยนจะไปถึง 200
มันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆเหมือนกับการที่เราปลดทองคำออกจาก US สมัย 50 ปีก่อน ถ้าหากปราศจากการแข็งค่าของ US โลกจะเดินไปต่อไม่ได้ ดังนั้นหากคนส่วนใหญ่มองว่าDollaจะร่วงอย่างรุนแรง แต่หากดอลล่าเกิดเข้มแข็งขึ้นมาผลประโยชน์จะตกอยู่กับคน 3% แล้วคนส่วนใหญ่ก็มองว่าอยู่ดิจิตอลกลับคริปโตเคอเรนซี่จะมาแทน โลกนี้ก็จะเดินต่อได้ด้วย และสิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจบูมได้แต่เป็นเวลา 2-5 ปีในระยะยาว ส่วนใครที่คิดว่าน้ำมันจะกลับลงไปถูกเหมือนเดิมคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ การที่น้ำมันจะอยู่ต่ำกว่าร้อยจะเป็นเรื่องชั่วคราวส่วน 100-160 จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะยาว.สิ่งที่เราทำได้ก็คือซื้อหุ้นจากบริษัทที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาขึ้นนั่นเองภาพตอนนี้เราเหมือนอยู่ในdead lockไม่สามารถขยับไปไหนเลย เรารู้สึกเหมือนไม่มีทางแก้มาแล้วประมาณ 5 ปีเป็นอย่างน้อย กำลังทางแก้จะไปได้คืนเงิน US จะต้องกลับมาแข็งและตอนนี้มันกำลังกำลังเกิดขึ้นคุณพิชัยมองว่าหุ้นจะไป 2,000 แต่ตอนนี้มีช่วงระหว่างขั้นจังหวะ ด้วยเหตุการพิเศษ ซึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังทุกคนตอนนี้มองดีไปหมดก็อาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้พักฐานบ้าง ระบบประโยชน์ไม่เคยมองว่าเราจะขายที่จุดสูงสุดเราจะขายก่อนจุดสูงสุดเสมอ
ทำไมต้อง 1700 ต้นๆหุ้นถึงลงมา คุณพิชัยอธิบายดังนี้
1 ต่างชาติnet buy 2.SET50 ขึ้น 3.กำไรกำลังจะมาหลัง covid จบ 4.กราฟแสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ทุกคนลืมFEDไปเลยที่จะขึ้นดอกเบี้ยสภาพตลาดจะเปลี่ยนเป็นดีมากๆในทางเดียวกัน พอทุกคนเข้าไปซื้อพร้อมกันหมดตลาดหุ้นปรับตัวลง
ภาพที่ 1 คือถ้าเสร็จลงไปเรื่อยๆเป็นลักษณะ Side Way Down ลงไป 1,500 คุณพิชัยเชื่อว่าอาจจะเจอ Bottom เลยปีนี้
ภาพที่ 2 ถ้าอยู่ดีๆสงครามจบ SETเเข็งแกร่ง พร้อมทั้งขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งผ่อนคลายqt ถ้าเสร็จเรื่องส่งสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะน้อยและช้า การทำqtจะช้า พร้อมทั้งเซตวิ่งไป1700 บวก ความกังวลสงครามก็หายไป ถ้าหากเกิดภาพนี้พิชัยมองว่าส่วนตัวจะลดพอร์ตมากกว่าครึ่ง การปรับฐานก็จะกินเวลาไปถึงปลายปีหน้าได้เลย แต่ก็มองว่าเสร็จไม่น่าจะลงไปลึกกว่าเดิม ดังนั้นตอนนี้คุณพิชัยก็รอดูอยู่ว่าจะออกไปทางไหน แต่คุณพิชัยมองว่าช่วงนี้เราไม่ควรมีหุ้นเต็มพอทแล้ว ถ้าคุณรู้จักตัวเองก่อนคุณถึงจะประเมินสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง ด้วยการมองแบบคนนอกมองเข้ามาแต่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่มอง
คุณพิชัยมองว่า หุ้นรายกลุ่มอย่างไร
1.กลุ่มโรงไฟฟ้า อันตรายสุดโดยเฉพาะถ้าไม่ได้ทำ EV ทำในปีนี้และปีหน้า เพราะคนสนใจกลุ่มนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็ได้ลดลงไปบ้างแล้ว
กลุ่มที่ 2 คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คุณวิชัยมองว่ายังไม่ดี
กลุ่มที่ 3 คือปิโตรโรงกลั่นอันนี้มีลุ้น
กลุ่มที่ 4 คือกลุ่มแบงค์คุณวิชัยมองว่าเพิ่งขายไป คุณพิชัยบอกว่าได้ขึ้นมาเยอะแล้วคนก็มองว่าดีกันหมด กลุ่มหลักทรัพย์ก็ได้ขายออกลบไปหมดแล้ว
กลุ่มเปิดเมืองก็ได้ขึ้นมาเยอะแล้วก็เลยไม่แนะนำ.ให้ดูรายบริษัทแทน มองว่ายังได้ คือได้คือ อสังหาริมทรัพย์สื่อสาร สินค้าเกษตร ก่อสร้าง เดินเรือ แล้วก็หุ้นเล็กอีกจำนวนหนึ่ง ในช่วงที่ตลาดไม่เล่นหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กก็จะกลับมาได้ โดยเฉพาะเป็นหุ้นเก็บตกหรือหลงลืม
ส่วนใหญ่ที่ทำให้พี่ทางคือคนส่วนใหญ่วิเคราะห์แบบง่ายเกินไป มองไปทางเดียวหมดแบบง่ายเกินไป คน 3 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่คนวิเคราะห์ ให้เราจินตนาการว่าคน 3% จะทำยังไงให้เงินของเขาที่มีจำนวนมาก Matching กับเงินคนส่วนใหญ่.ถ้าคนส่วนใหญ่ดันไปทางไหนเงินใน 3% มันก็จะมาประมาณนั้นพอดีกัน แต่โดยหลักการคือเงินจะเคลื่อนไปในทางที่คน 3% นั้นกำไรตลอด Warren buffetก็ใช้แนวนี้แต่ว่าจะเล่นแต่หน้าซื้อเท่านั้น
ถ้าเรากลัวเราไม่อยากซื้อฝืนใจซื้อเรารอได้อันนี้ถูก แต่ถ้าชัดมากๆก็ไม่ควรซื้อ ภาพที่มองจะต้องชัดแล้วนิ่งเพียงพอ คุณวิชัยไม่ได้มองว่ามีเงินต่างชาติจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาเพราะที่จริงมองไปก็ไม่เกิดประโยชน์การมองnet buy net sell ไม่ช่วย ไม่ใช่มองที่คนวิเคราะห์ว่าวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไปทางไหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนส่วนน้อยกำไรถึงแม้จะไม่ใช่เหตุผลที่ถูกก็ตาม ระบบเล่นกับข้อเท็จจริงที่อัดแน่น ถ้าไม่ได้ลดพอทไปแล้วในช่วงแรก ในช่วงตลาดSideway เวลานี้ คุณพิชัยมองว่าให้รอดูอย่างเดียว
วิธีการมองแบบกราฟซ้อนกราฟ อันแรกคือเข้าไปซื้อในจุดที่กราฟ Cut loss ส่วนการที่เราซื้อแท่งแรกที่เบรคเขียว ทุกคนก็มองเห็นแบบนั้นเช่นกัน คุณพิชัยมองว่าเราควรหาแท่งเขียวขี้เบลอคือทุกคนมองว่าเดี๋ยวก็ลงต่อ แท่งเขียวที่ชัดแล้ววิ่ง มันจะต้องมาจากแท่งเขียวขี้ชัดจากไม่ชัดเช่นมีการหลอกมาแล้วหลายครั้งนั้นเอง พอเราโดนหลอกหลายครั้งเราจะเข็ดกับความชัดของมัน แล้วมันก็จะไป เราต้องมองความคิดของคนแบบเชื่อมโยงกันถ้าเราคิดว่าอะไรไม่เคยเกิดแล้วเข้าไปลงทุนแบบไม่มีลิมิตมีคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นการลงทุนที่ดีและปลอดภัยอย่างเช่นช่วง subprime ในUSA หรือเป็นช่วงวิกฤตต้มยํากุ้งปี 40 ก็ไม่มีใครเชื่อว่าค่าเงินบาทจะต้องถูกลอยตัว เขาเรียกว่ามันง่ายและไม่มีความเสี่ยงจึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนอย่างเดียวกันทั้งหมด มันขาดความเฉลียวใจ
คุณพิชัยมองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยก็ได้ คุณพิชัยให้เวลาดู 3 ปีแล้วตอนนี้เองก็เป็นเหตุผลเดียวดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก ส่วนเรื่อง comoodityกับเงินเฟ้อจะไม่ลงง่ายๆนับจากนี้ เราต้องรู้จักตัวเองให้ได้ไม่งั้นเราก็ไม่รู้จักคนอื่นจะมองสิ่งรอบตัวได้ไม่ถูกต้องเหมือนกระบอกไฟฉายที่วางเอียงตัวกระบอกไฟฉายเองก็จะเห็นลำแสงเป็นเส้นตรง
เรื่องหุ้นก็จะเย็นออกด้านข้างให้เราดูกันต่อไปภาพระยะยาวด้านบวกของหุ้นมีมากกว่าด้านลบ คุณพิชัยหวังว่าจะไม่เกิดภาพที่ดีมากจนเกินไปในปีนี้ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นนั้นจบขาลงได้เร็ว คุณพิชัยมองว่าตลาดHKเป็นตลาดที่น่ากังวลที่สุด หุ้นเล็กรายตัวยังไปได้ระบบผลประโยชน์ตอนนี้ก็มีคนน่าจะรู้มากขึ้นแต่มันไม่ใช่แบบนั้นทุกอย่างจะเกิดในสิ่งที่ไม่เคยเกิดเสมอเราไม่ต้องเดาแต่เฝ้าดูไปจากคนที่วิเคราะห์ หลักการนั้นมันไม่ยากมันอยู่ที่การตีความ ต้องพยายามมองให้กว้างเผื่อไว้ เพราะมันจะต้องมีการคาดเคลื่อนเสมอ 10 20% เป็นเรื่องธรรมดา หุ้นบางประเภทเหวี่ยงแรงแต่เวลาขึ้นก็ขึ้นแรงเหมือนกัน
เลือกหุ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
เรื่องอัตราดอกเบี้ยถามว่ามีผลกับการลงทุนใหม่ต้องตอบว่ามี ถ้าเป็นนักลงทุนแนว vi จะเจอในเรื่องของการเงิน หรือ Income statement งบที่ง่ายที่สุดก็คืองบกำไรขาดทุน ดังนั้นในงบกำไรขาดทุนหากดอกเบี้ยขึ้นมันก็จะเป็นผลลบอย่างแน่นอนเพราะมันมีค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง มันคือต้นทุนทำธุรกิจ แต่ในอีกมุมนึงหากเรามานั่งคิดก็จะเจอว่ามีธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็คือธุรกิจธนาคารนั่นเอง แล้วในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าหากดอกเบี้ยสูงขึ้นการกู้ก็ย่อมยากขึ้น
ส่วนในมุมของหุ้นนั้นจะมีเรื่องในเชิงของการทำ Valuation โดยเฉพาะในการทำ dcf คือเราซื้อกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัท ดังนั้นหุ้นที่เรามองอนาคตไปไกลๆเช่นบริษัทเทคโนโลยีที่เงินสดหรือกำไรยังมาไม่เยอะแต่มีดอกเบี้ยจ่ายในอนาคตด้วยทำให้ดอกเบี้ยขึ้นจึงเป็นผลลบต่อกลุ่มนี้ ในอนาคตราคาจึงลดลงมา กองรีทก็เช่นกันเพราะมีต้นทุนเป้นดอกเบี้ยทำให้ได้เงินปันผลลดลง
อเมริกาตอนนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากไม่สามารถที่จะลดดอกเบี้ยและอาจqeได้อีกแล้ว ปี 65 น่าจะเป็นปีที่ลดดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งดอกเบี้ยของอเมริกาอยู่ต่ำมาหลายปีแล้ว ในช่วง 2018 เฟสได้ขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้งบวกกับปัจจัยภายนอกก็คือ Trade War ตลาดหุ้นก็ได้ปรับลงทั่วโลก ซึ่งมันบ่งบอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยนั้นกระทบตลาดแน่นอนแต่รอบที่แล้วกับรอบนี้ก็อาจจะไม่เหมือนกันเพราะว่ารอบนี้ตลาดได้รับรู้ไปก่อนแล้วว่าจะขึ้นเยอะ นักลงทุนมีการคาดหมายเอาไว้เยอะแล้ว ตลาดก็อาจจะไม่ตกใจมากเพราะว่าได้รับรู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง
คุณนิ้วโป้งว่าตอนนี้ตลาดกำลังเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ส่งประเทศที่พัฒนาแล้วเขาฟื้นก่อนเราทำให้เงินเฟ้อตอนนี้ต้องเร่งสกัด เฃินต่างชาติไม่ได้ไหลเข้าบ้านเรามา 7-8 ปีแล้วซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้ามาค่อนข้างเยอะในช่วงต้น จะเป็นหุ้นตัวใหญ่ เช่นพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีกเป็นต้น ต่างชาติซื้อสามัญประจำประเทศ พลังงานอาจจะมีปัจจัยภายนอกเกี่ยวข้องบ้าง ค้าปลีกบางตัวเริ่มมาเงินจะค่อยๆหมุนไป ส่วน aot ก็ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานยังไม่ค่อยได้ในเชิงการประเมินมูลค่า
มุมมองของกองทุนที่ขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของปีนี้คุณนิ้วโป้งมองว่าเป็นการขายเพื่อรองรับ ltf ที่ไถ่ถอน เราจะเห็นว่าที่ผ่านมากองทุนไม่ค่อยออกกองในประเทศไทยเลย จะไปออกต่างประเทศเป็นหลักดังนั้นหากกองทุนเห็นว่าประเทศไทยนั้นดีขึ้น ก็จะเริ่มเปิดกองมากขึ้นและเงินจากส่วนนี้ก็จะดันดัชนีต่อไป เหมือนปี 2012-2013 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปมาก
คุณนิ้วโป้งพูดว่าดีใจที่เห็นต่างชาติกับเข้ามาซื้อเพราะว่าเราอาจจะยังไม่ตกแผนที่ของการลงทุนเป็นไปได้ไหมที่ต่างชาติจะซื้อก่อนแล้วหลังจากแรงซื้อแผ่นกองทุนจะตามกลับเข้ามา ต่างชาติโดยส่วนใหญ่เวลาเข้าซื้อเขาจะเข้าซื้อตาม policy อย่างเช่นปีที่แล้ว Global policy บอกว่าให้มีหุ้นเอเชียอยู่จำนวนหนึ่งแต่การที่เขาไม่ได้เข้าจีนหุ้นอินเดียจึงขึ้นเป็นอย่างมากแต่ถ้า policy ให้ออกไม่ว่าหุ้นจะถูกยังไงเขาก็จะออก เช่นธนาคารรอบที่ผ่านมาแม้ว่า Price per Book จะอยู่ที่ 0.5 เขาก็ขาย เราต้องไม่ลืมว่าเราโดนล็อคดาวน์โควิดไปนานทำให้กำไรเก่าอาจจะไม่แฟร์เราต้องดูล่วงหน้า
คุณนิ้วโป่งให้แนวคิดขั้นตอนการลงทุนหลังโควิตดังนี้1 หุ้นต้องตาม Mega เทรน2 อยู่ในอุตสาหกรรมขาขึ้น3 กิจการมีคุณภาพที่ดี เช่นกิจการยังขยายอยู่ ผู้บริหารมีความสามารถ มีการออกNew product New Service ขยายสาขา4 งบการเงิน5 การวัดมูลค่าหุ้นถูกแพง
นับจากนี้หุ้นจะเป็น Selective Buy มากขึ้นคือมองจาก Bottom up Selective Buy เราจะไม่ซื้อหุ้นทั้งอุตสาหกรรมเราจะซื้อบางตัว เช่น เรามองว่าโรงแรมจะกลับมาดีแต่เราก็ต้องเลือกโรงแรมที่งบการเงินดีไม่ใช่ซื้อทุกตัวได้ พยายามซื้อตัวที่ไม่แพงหรือ อีกอย่าง คือ in Organic Event ในรอบที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีหุ้นประเภทนี้เยอะมาก เช่นมี infrastructure ใหม่ SCBX เป็นต้น โดยการใส่ IDEA เข้าไปราคาก็แซงได้ในทุกแบงค์ โดยที่ไม่ต้องรอฟันโฟลเลย หรือมีการควบรวมก็ได้ Unlock Value นักลงทุนจะไม่รู้เลยถ้าไม่ได้ตาม ราคาจะไปก่อนโดยไม่ต้องประเมินมูลค่าเลยคุณนิ้วโป้งแนะนำให้ลองดูEarning yield Gap = Earning- Bond yield (10Y)
โดยการเอาPE เป็นส่วนกลับ เช่นตลาดหุ้นไทยมี PE 20 เท่าดังนั้นโสดกับเท่ากับ 1 ต่อ 20 คือ 0.5 หรือ 5% นั่นเอง แล้วนำมาลบด้วยbond Y10 ปีของประเทศไทยโดยหาข้อมูลจาก CNBC เป็นต้นจากข้อมูลคือ 2% ดังนั้นลบกันคือ 3 เปอร์เซ็นต์คือผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยที่สำคัญ PE ของไทยเป็นพี่ย้อนหลังไม่ใช่PEอนาคต ดังนั้นผู้ที่ดูแพงจะกลายเป็นดูไม่แพงข้อดีคือประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีแต่จะเป็นหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยวเยอะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดนี้นับจากนี้ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นก็ตาม และหลายบริษัทในช่วงที่โควิดระบาดก็ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรลดต้นทุนกันไปได้แล้วพอสมควร มีการทำให้ต้นทุนตัวเองดีขึ้นดังนั้นบริษัทพรุ่งนี้หลัง covid จะอยู่บนต้นทุนแบบใหม่ เป็นการประหยัดต้นทุนแบบถาวร
หลักการของ vi ในการซื้อก็คือ GOOD STOCK AT GOOD PRICE
1.เติบโต
2.แข็งแกร่ง
3.ราคาถูกไม่ว่าดัชนีจะสูงแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หาได้คือลงทุนได้
ในทางตรงกันข้ามหากดัชนีลงมามาก แต่เราหาหุ้นGOOD STOCK AT GOOD PRICE ไม่ได้เลยเราก็จะซื้อหุ้นไม่ได้ เราก็จะถือเงินสดเวลาเราซื้อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ของหุ้นไทยจะมาเป็นข้อ 2 กับ 3 ก่อน
ส่วนการขาย 1 ขายเมื่อราคาแพง 2 ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน 3 ขายเมื่อเจอตัวใหม่ที่ดีกว่า.คุณนิวโป้งมองว่าคุณโป้งจะเลือก Theme recoveryธนาคาร ขนส่งทางราง สื่อนอกบ้าน สถานีบริการน้ำมัน ค้าปลีก เช่น aot อาจจะเป็นGOOD STOCK แต่อาจจะไม่ GOOD PRICE ก็ได้เพระาราคาได้ขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับอนาคต 1-2 ปี
คุณนิ้วโป้งให้ลองจินตนาการว่าหากปีนี้เป็นปี End เกมของ covid จริงๆเราต้องไม่ลืมว่าแม้กระทั่งเราเองหรือประเทศคู่ค้าของเราตอนนี้ก็ยังปิดประเทศอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากปลายปีนี้จีนประกาศเปิดประเทศขึ้นมา ให้นักท่องเที่ยวออกมาเที่ยวได้ ใครน่าจะได้ประโยชน์ นักธุรกิจพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมีความพร้อม ในต่างประเทศเองเช่นยุโรปเงินเฟ้อมาทำให้ที่ดินเขาก็ขึ้นมากดังนั้นประเทศไทยพวกนิคมต่างๆมีของเก่าเป็นจำนวนมากจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ จะถามว่าสร้างใหม่ได้ไหมใช่สร้างใหม่ได้แต่ทั้งต้นทุนและเวลานั้นสูงขึ้น
พี่นิ้วโป้งแนะนำว่าหุ้นที่ควรออกจากพอร์ตคือหุ้นที่แพงเกินไป แต่พี่นิ้วโป้งบอกว่าพี่โป้งจะซื้อแต่Good Stockเสมอ ดังนั้น เราจะขายเพราะไม่ Good Price นั้นเอง ให้มองว่าบ้านเรายังไม่เกิด Event ของการท่องเที่ยวได้เลยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเขาเกิดไปหมดแล้วดังนั้นหลังจากนี้หากวันนึงทุกอย่างเปิดขึ้นมาเราจะจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่ามันจะได้ประโยชน์เยอะขนาดไหน อยากให้นักลงทุนมีความหวัง ถ้าเรามีภาพอย่างนั้นในใจเราจะมองว่ามีผู้ลงทุนได้อีกมากมาย
พี่นิ้วโป้งมองว่าหุ่นที่ดี จะสร้างผลกำไรให้ในระยะยาวดังนั้นปัจจัยลบต่างๆให้มองว่าเป็นโอกาสในการหาหุ้นที่มีทั้งคุณภาพดีและราคาดีไปด้วยกัน นั้นเอง
เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว โดย เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์
[ เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ] ได้เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว กว่าจะมาเป็นนักลงทุนที่ประสอบความสำเร็จให้เราฟังครับ
เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านช่วงนั้นโดนรับน้องตลาดลงแรงเพราะ ซับไพร์ม ครั้งสุดท้ายดูพอร์ตมันมันลงไปมากกว่าครึ่งล้าน 2 ล้านกว่าๆประมาณนี้นะครับ ภรรยาก็รู้ทุกคนมันก็เริ่มออกข่าวใหญ่ ทุกคนพูดกันจะเลิกไหมทำไมถึงไม่เลิกมันก็พิสูจน์แล้วนี่ว่าเราทำไม่ได้เห็นไหมล่ะก็ให้ลองแล้วไม่ใช่ว่าไม่ให้ลอง
” แฟนถามแล้วลูกจะเรียนต่อยังไงเคยคิดถึงอนาคตลูกไหม” ถ้าเราเล่นอย่างนี้แล้วมันลงไปเรื่อยๆจนเหลือศูนย์อ่ะจะทำยังไง
ความเชื่อมั่นในตอนแรกที่เล่น มันขึ้นไปเกินกว่าความรู้เยอะมามันงงแล้วมันสับสนแล้วก็คิดว่าจะล้างพอร์ตแล้วเลิกเลยจะเหลือเงิน 6 ล้าน 7 ล้านก็ช่างมันเถอะก็ถือว่าพลาด
โชดดีตอนั้นมีถ่ายทอด Opp day สามารถอัพเดข้อมูลบริษัทได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ผมก็ไปเลยครับ
## เจอพี่หลายท่านเก่งๆน พี่ธีรนาถโชควัฒนา เจอพี่เกียรติ กาละมัง แล้วก็คุยกันคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ผมก็ถามพี่ว่าอย่างนี้น่ากลัวไหม? พี่ พีตอบว่า อย่างนี้เรียกว่าวิกฤตเศรษฐกิจอันนี้คือโอกาสด้วยนะโอกาส พี่เขากลัวตัวสั่นเลยนะผมอยากซื้อจนตัวสั่นเลย แต่ผมหมดแล้วเงินหมดซื้อหมดแล้วผมมี margin ครบแล้ว
พอเราได้ฟังเล่าเกิดความรู้ขึ้น พาแฟนไปนั่งฟังบ้าง แฟนตัดสินใจลองดูให้เงินมาอีก 5 ล้านซื้อเพิ่ม
จากนั้นเราก็ถามจากคนเก่งมาตลอด เช่น คุณ Yoyo ก็เป็นท่านนึงที่สอนผม ผมเคยอ่านเคยอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่าคนที่เก่งเกรดa มักจะคบกันคุยกัน หรือคบคนเกด a+ แต่คนเกรดบี มันจะคบกับคนเกรดซี และคนเกรดดี มันคบลดระดับลงไปเรื่อยๆเพราะอะไรเพราะสองคนกลุ่มนี้มันมีความคิดไม่เหมือนกันคนเกรด a เนี่ยเขาคิดว่าเขาจะเจริญเติบโตก้าวหน้าทางความคิดเนี่ยเขาจะเลือกคบคนที่เก่งกว่าเขา
หลังจากปีนังไปในปีถัดมาผมบวก 300% !! คือเกินกว่าที่เสียไปทั้งหมดแล้ว แฟนบอกว่าเลิกเถอะ หรือเอาเงินต้นออกก็ยังดี ความคิดของเราคือเอาไงดี ไปต่อหรือ พอแค่นี้ สรุปคือไปต่อเพราะ คิดว่ารอบนี้ลูกเราจะเปลี่ยนชีวิตลูกเราจะได้เรียนเมืองนอกมันจะได้ไม่โง่เหมือนเราพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง
จากนั้นเจอวิกฤตอีกครั้ง กรุงเทพฯและปริมณฑลประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนและน้ำท่วมครั้งนี้ก็ถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯปี 2485 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและมีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.44 ล้านล้านบาทมีประชาชนได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ถึง 12.8 ล้านคนส่งผลให้ GDP ประเทศไทยในปี 2554 เติบโตขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ตอนนี้รับมือได้นะครับเพราะว่าเรารู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้เดี๋ยวก็กลับมา หุ้นที่ถือไว้ดันถือหุ้นอสังหาลงเยอะมากมีตัวนึงแล้วกะว่าจะเป็นตัวกับพระเอกคือวันเลยตัวนี้ต้องพลิกชีวิต ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนๆเยอะเพราะเราเที่ยวไปเชียร์ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนนั้นขายไม่ได้เพราะซื้อไปเยอะ bid offer ไม่พอถ้่ขายมีหวังลงไปเยอะแน่ๆ ตอนนั้นทุน 30 สตางค์ ราคาลดลงกว่า 30% ก็ได้แต่คิดว่า ถือไปเดี๋ยวก็กลับมา เพราะ เรามั่นใจในธุรกิจ backlog บริษัท ก็ยังดี เราถือ warrant อายุ 5 ปีก็น่าจะไหวอยู่ ตอนนั้นข่าวร้ายก็มาเยอะนะ เขาถึงขนาดบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวน้ำก็ท่วมอีก บริษัทที่มีที่ดินเยอะ มีโครงการเยอะ แย่แน่นอน สุดท้านพอไปเช็คกับบริษัท ปรากฎว่าแก้ปัญหาด้วยการถมที่ให้สูงขึ้น และพฤติกรรมลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู้เพราะ ญาติพี่น้องอยู่แถวนั้น แค่ปี 1 ปีมันกลับมาทำไร 1 เท่า มันขึ้นมา 60 สตางค์
หลังจากน้ำท่วมผ่านไป Port ผมโตน้องนะ ปีละ 7% บ้าง ลบ 3% บ้าง + 5% อะไรประมาณนี้เพราะผมยังเล่น playbook แบบเดิม(หาหุ้น PE ต่ำ ) แต่ตลาดเล่นหุ้น Growth เราก็งงเลยทีนี้ เราก็ลองไปศึกษาจริงๆ ดู พบว่าจริงๆ แล้วเล่นได้นะ เพราะ ถ้าหุ้นตัวนั้น PE สูงแต่สร้างการเติบโตได้มากกว่าและต่อเนื่องหลายปี PE จะลดลงนั้นเอง เช่น PE 100 ถ้าโตปีละ 50% ติดกัน 5 ปี PE จะเหลือ 10กว่าเท่าครับ คนก็เลยให้มูลค่านั้นเอง และถ้าธุรกิจนั้น มี 2 ปัจจัยนี้จะดีมาก ปัจจัยนั้นคือ 1.สามารถเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ 2.ขยายสเกลธุรกิจได้ นักลงทุนจะให้คุณค่ามาก
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ สุดท้ายพี่มี่ ยังเน้นเรื่องการลงทุนให้มีความสุขด้วยนะ มีเงินมากเท่าไรแต่ถ้าเราเครียด จนป่วยก็นั้นเท่ากับว่าเราผิดทางแล้ว ไม่คุ้ม
ขอคุณคลิปดีๆ จาก ลงทุนแมน นะครับ
ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 และ 2 ปีแคบลง สัญญาณเศรษฐกิจถดถอยจะมาแล้วหรือ?
ช่วงเดือนนี้มีสัญญาณที่น่าสนใจ คือส่วนต่างดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 กับดอกเบี้ยพันธบัตรระยะ 2 ปี หดแคบลงเรื่อยๆ ในอดีตที่ผ่าน ถ้าส่วนต่างหดแคบลงจน ดอกเบี้ยพันธ์บัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาวเมื่อไร จากนั้น 1-2 ปีมักจะเกิดวิกฤติเศษรษฐกิจทุกครั้งไป มาดูกันครับว่ารอบนี้เป็นอย่างไรและตลาดจะเป็นแบบไหน
หลังจากภาวะโรคระบาด COVID ในปีได้ทำให้เศรษฐกิจชะงักงันไปหมด คนตกงานมากมาย โรงงานผลิตไม่ได้ ร้านค้าไม่ได้ค้าขาย ทำให้ธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐต้องเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการอัดเงินผ่านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังอย่างหนักหน่วง ทั้งการทำ QE การให้เงินช่วยเหลือประชาชนผ่านนโยบายต่างๆ.ทำให้เมื่อ covid คลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบเด้งแรง ความต้องการซื้อกลับมาอย่างรวดเร็วดั่งภายุโหม ออเดอร์ทะลักโรงงานเริ่มกลับมาผลิตแทบไม่ทัน ส่งผลให้เกิด supply shock แบบไม่คาดคิด ราคา commodity พลังงาน ค่าระวางเรือพุ่งเป็นพลุ ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่งกระฉูด
ผ่านมาไม่นานก็เริ่มอิ่มตัว PMI เริ่มลดลง การจ้างงานเริ่มกลับมา เศรษฐกิจกลับมาและมาพร้อมกับเงินเฟ้อพุ่งทะยาน ธนาคารกลางเริ่มคิดที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟื้อ และลดการทำ QE ลง จุดนี้ทำให้กระทบตลาดหุ้นอย่างมาโดยเฉพาะหุ้นเติบโต เริ่มโดนเทแบบไม่เหลือเยี่อไย จากสถิติตั้งแต่ 1950-2020 ธนาคารกลางมักจะขึ้นดอกเบี้ยช่วงเศรษฐกิจอิ่มตัว และตลาดหุ้นจะผันผวนมากขึ้น และราคาหุ้นมักจะลดลงก่อนการขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น
ในตลาดพันธบัตรเริ่มส่งสัญญาณ โดยขายพันธบัตรระยะสั้นและมาพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นสูงกว่าระยะยาว (ปกติราคาพันธบัตรจะสวนทางกับดอกเบี้ย ถ้าขายพันธบัตรมาราคาตลาดลดลงดอกเบี้ยตลาดจะสูงขึ้น)
สิ่งที่ต้องระวังคือจากนี้เราต้องคอยตามตัวเลขด้านการผลิต และการบริโภคว่าจะเริ่มอิ่มตัวเมื่อไร และฟองสบู่จุดไหนกำลังมาเราจะได้หนีทัน สำหรับปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเงินไหลเข้ากลุ่มหุ้น Value มากขึ้นเพราะราคายังขึ้นมาไม่มากน่าจะเป็นหลุบหลบภัยที่ดี โดยเฉพาะหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และพลังงานที่ขึ้นมาตามราคาน้ำมันที่เพิ่ม
แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักยังมองว่าดอกเบี้ยไทยยังไม่น่าจะขึ้นเร็วๆนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มา อาจได้เห็นสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยประมาณปีหน้าแทน
สรุปว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าจุดอิ่มตัว หุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้นไม่ได้เล่นง่ายๆ เมือนปีก่อนต้องเลือกรายตัวมากขึ้น เศรษฐกิจน่าจะยังไม่ตกเร็วนี้แต่ให้เพิ่มความระมัดระวัง
………………………………………………………
สนใจเครื่องมือ วิเคราะห์กองทุนแบบมืออาชีพ และ ห้อง line ปรึกษาแก้พอร์ทแบบ VIP สอบถามรายละเอียดได้ที่ add line https://lin.ee/NG76Kil
หรือกดINBOX มาได้เลยครับ