ลงทุนอย่างเซียนกับคุณ YOYO สันติ สิงหวังชา

คุณ YOYO หรือ สันติ สิงหวังชา เป้นนักลงทุนมากฝีมือ และเขียน blog ชื่อ yoyo way ที่แทบจะบันทึกมุมมองการลงทุนของหุ้นที่ลงทุนอย่างคมกริบ แม้วันนี้เขาจะไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังฝากแนวคิดไว้ให้เราศึกษากันอยู่ โดย yoyo ได้ฝากไว้ 3 เรื่อง

1 วิกฤติ subprime 2008 เกือบพังเพราะถือหุ้นไม่กี่ตัว

ก่อนวิกฤติ จบวิศวะโยธา ทำงานแล้วไม่มีความสุข ลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา
จากพอร์ท 1 ล้านขึ้นไป 88 ล้าน จากถือหุ้นน้อยตัว และใช้ margin เต็มแม็ก
ส่วนใหญ่เป็นหุ้น PE ต่ำ และมีการเติบโตในอีก 2-3 ปีที่ชัดเจน

ตอนนั้นหุ้น 3 ทหารเสือประกอบด้วย Uec ums snc ใครเล่น thaivi.org ยุคนั้นต้องเคยอ่านในห้องร้อยคนร้อยหุ้น
พอเกิดวิกฤติชะล่าใจ ยิ่งลงก็ยิ่งเพิ่มมาร์จิ้น เพิ่มจนไม่ควรเพิ่ม
จนเหลือลงไม่กี่ % จะโดน force sell
โชคดีที่อีกนิดเดียวจะโดน แล้วมีคนเข้ามาฟื้น เลยค่อยปล่อยไปบางส่วน
แต่ธุรกิจยังเป็นตามที่เราคิดทุกอย่าง

หลังจากเจ็บก็เริ่มเปลี่ยนมาซื้อหุ้นปันผลสูง เพราะจะกลับไปทำงาน ถ้าไม่ขึ้น 2-3 ปีก็คืนทุน
ไปซื้อหุ้น LPN ปันผล 20% PE ต่ำมาก สนามบินสมุย และหุ้นอืนๆ รวม 5 ตัว

หลังจากนั้นตลาดตีคืน พอร์ทขึ้นไป 30 ล้าน กลับมาเดินหน้าลงทนต่อ
ปีถัดมา yoyo ได้ผลตอบแทน 397% จากหุ้นอสังหา

2เจ็บหนักจากหุ้นจีนที่ลิสในตลาดหุ้นอเมริกา

หลังจาก subprime หุ้นไทยวิ่งจนเริ่มแพง จึงไปต่างประเทศ
ช่วงแรกไป 20% ของพอร์ท ไปเจอหุ้นจีนที่ list ในอเมริกา china biotic มีเรื่องการเติบโตไวมาก
สตอรี่การลงทุนชัดมาร์เก็ตแชร์ 3% และขายถูกกว่าต่างชาติ 40%
โตปีละ 40% กำลังขยายโรงงานไปร้านค้าปลีก ปีครึ่งคืนทุน
ผู้สอบบัญชีเป็น big4

แต่หุ้นเริ่มลง มีข่าวลือว่าเป็นบริษัทปลอม
นักวิเคระห์ก็ไปดูทั้งเมืองจีนมาแล้วไม่มีร้านสาขาดังว่า

แต่บริษัทออกมาบอกว่ามีจริงๆ ส่งที่อยู่มาให้ดี แต่นักวิเคราะห์ไปดูก็ไม่มีอะไร

พอไป company visit ไปสัมภาษณ์คนบอกว่าถูกจ้างมาเริ่มตะหงิดๆ
แต่ก็ซื้อเพิ่มไป 50% ของพอร์ท เพราะยังมั่นใจ story

ไปดูงบกระแสเงินสดแปลก 2 เรื่อง
คือไม่มีหนี้แต่เพิ่มทุน และไม่ยอมจ่ายปันผล

จากนั้น cfo ลาออก และมีข่าวไม่จ่ายหนี้ บริษัทราคาหุ้นร่วงระเนระนาด กลับมาด้วยความผิดหวัง

หุ้นไทยมีการปรับฐานแล้วได้จากหุ้น jas พลิกพอร์ทกลับมาได้

ทำให้สไตร์การลงทุนเปลี่ยนไป

หุ้นไทยช่วงหลังๆ yoyo ยังเป็นแนวเดิมคือหุ้น PE ต่ำ ต่างประเทศก็ไป facebook tencent ที่ผู้บริหารดูดีหน่อย
ปรับตัวมาหาหุ้นคุณภาพมากขึ้น

3.บทสรุปคือหาจุดขาย ไม่ใช่ฝีมืออย่างเดียว

มองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มลงทุน ความมั่งคั่งของหุ้นที่ตีแตก
หุ้นแต่ละตัวไม่ได้โตตามที่คาดไว้เลย
แต่โชคดีที่ซื้อแล้วขึ้น แล้วก็ขาย และตลาดดี

เมื่อมองหุ้น อ นิเวศน์ เลือก เป็นการเติบโตที่ไม่กลับมาที่เดิม
อย่างค้าปลีกพอขยายสาขา ลูกค้าแถวนั้นก็ซื้อซ้ำ ยิ่งขยายกำไรก็ยกฐานไปเรื่อยๆ

คุณ Yoyo เริ่มเอาแนวคิดนี้ไปลงทุนต่างประเทศ เริ่มเห็นซื้อ PE20 เท่า เปลี่ยนจากจากที่ซื้อ PE ต่ำและเติบโตสูง
มาเป็นหุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสม และเติบโตเรื่อยๆมมากขึ้น

จากบทสัมภาษณ์จะเห็นพัฒนาการของการลงทุน จากสายโหด เล่นทีละไม่กี่ตัว ที่ PE ต่ำและปันผลสูง มาหุ้นต่างประเทศ และหุ้นเติบโตเรื่อยๆ เพื่อให้ความรู้แน่นๆกว่านี้แนะนำให้ไปที่ blog yoyo way ต่อเลยครับ รวบรวมบทความระดับตำนานมากห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=5myGf3hl8xY

วิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็นเงิน 1 ล้านล้านบาทโดยบัฟเฟตต์

ณ ปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 19,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราวๆ 3.4 ล้านล้านบาทเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 6 ของโลก

ปู่ได้รับคำถามในงานประชุมใหญ่ประจำปี 2021 ของผู้ถือหุ้นในปีล่าสุดว่า

🤔 คุณปู่ครับช่วยตอบผมหน่อยว่าทำยังไงผมถึงจะหาเงินได้ซัก 30,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาทได้บ้างครับ เมื่อชายหนุ่มถามคำถามนี้ทำให้ผู้คนในห้องประชุมถึงกับฮือฮากับคำถามนี้ไปตามๆกันในใจคงคิดประมาณว่าแม่พ่อหนุ่มเอางั้นเลย

🤓โดยปู่ก็ตอบสวนอย่างทันควันว่าอันดับแรกสุดคุณจะต้องมีอายุที่น้อยซะก่อนซึ่งถ้าถามปู่ในวันนี้ในวัย 90 ปีถ้าจะให้เริ่มต้นจากศูนย์ตอนนี้ก็คงยากที่จะตอบได้เหมือนกัน

ปูเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำก่อนว่าการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มันก็เริ่มต้นมาจากการสร้างสิ่งเล็กๆก่อนเช่นเดียวกับ⛄กฎของสโนว์บอลที่เป็นหิมะก้อนใหญ่ก็เริ่มต้นจากหิมะก้อนเล็กๆที่กำลังกลิ้งลงมาจากเทือกเขาซึ่งเทือกเขานั้นก็จะต้องมีระยะทางที่ทอดยาวมากพอที่จะให้ก้อนหิมะค่อยๆเพาะปูนจากก้อนเล็กๆกลายเป็นก้อนใหญ่มหึมาได้ในที่สุด

ซึ่งเปรียบได้กับการเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นั่นเองและที่สำคัญไปกว่าอายุน้อยไม่แพ้กันนั่นก็คือคุณจำเป็นที่จะต้องมีอายุยืนยาวด้วยโดยปู่บอกว่าสิ่งที่เทียบเคียงกับหลักของสโนว์บอลได้นั้นก็คือหลักการของดอกเบี้ยทบต้นสิ่งนั้นคุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนก้อนน้อยๆแต่พอวันเวลาผ่านไปนานขึ้นด้วยพลังของดอกทบต้นก็สามารถเปลี่ยนจากเงินไม่กี่บาทให้กลายเป็นหลักล้านได้เช่นกัน

✅การเก็บเงิน ปู่ยกตังอย่างว่าตอนเรียนจบจากระดับปริญญาตรีให้เขาเก็บเงินได้สัก 10,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 3 แสนบาท

✅เอาเงินไปซื้อบริษัทพื้นฐานดีที่ขนาดไม่ใหญ่มากสิ่งแรกที่เขาจะทำทันทีเลยก็คือพอเรียนจบเขาจะนำเงินเก็บก้อนนี้ไปซื้อบริษัทโดยเริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆเนื่องจากจำนวนเงินที่นำไปลงทุนนั้นก็ไม่ได้มีมากมายอะไรประกอบกับโอกาสในการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตเป็นบริษัทได้นั้นมันยังมีช่องทางอีกมากโดยไม่สามารถทำให้เงินทุนเพียงเล็กน้อยเติบโตได้อีกหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าแถมบริษัทขนาดเล็กมักจะถูกผู้คนส่วนใหญ่มองข้ามศักยภาพของมันไปโดยปู่ได้เน้นย้ำว่าการซื้อบริษัทคือหนทางเดียวที่จะทำให้เงินร่องเงยได้อย่างมหาศาล

📌และปู่ก็คอนเฟิร์มว่าวิธีการนี้มันจะเวิร์คไปอีกเป็นร้อยปีนับจากนี้โดยหลักการนี้มันยังคงใช้ได้อยู่เพราะเอาจริงๆแล้วแค่รุ่นปู่รุ่นเดียวก็เกือบ 100 ปีเข้าไปแล้ว

✅ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

โดยปู่บอกว่าไม่มีหรอกที่จู่ๆจะมีคนมาบอกว่าให้ลงทุนธุรกิจนั้นสิลงทุนธุรกิจนี้สิอีก 10 ปีมันจะเป็นบริษัทมหาชนแน่ๆลงทุนวันนี้เป็นเศรษฐีในวันหน้าซึ่งถ้าใครมาชักชวนหรือเครมอะไรประมาณนี้ก็ให้ระวังเอาไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจจะกำลังคุยอยู่กับมิจฉาชีพก็เป็นได้ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อค้นหาธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพไปลงทุนในบริษัทนึงในยุคแรกๆจนตอนนี้มันไปไกลโดยข้อดีของธุรกิจประเภทนี้ก็คือหลังจากที่ขายประกันให้กับลูกค้าได้แล้วเงินมันจะมากองอยู่ที่บริษัทโดยยังไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมจนกว่าลูกค้าจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งนั่นมันทำให้บริษัทหรือเงินสดอย่างมหาศาลทำให้ในระหว่างนี้ทางบริษัทก็สามารถนำเงินสดไปลงทุนในด้านต่างๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้นั่นเองและด้วยเหตุนี้จึงเป็นบริษัทแหล่งเงินทุนที่สำคัญในบริษัทอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายซึ่งเมื่อปู่นึกย้อนกลับไปในช่วงแรกๆที่ค้นพบโอกาสในการลงทุนในบริษัทนั้นหลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูลปู่ค่อนข้างมั่นใจว่าดีจริงณเวลานั้นไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ปู่พยายามจะสื่อเลย ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในตนเองเพราะถ้าหากเราไปเชื่อคนอื่นก็คงมีแต่คนบอกว่าอย่าไปลงทุนมันเลยมันไม่เวิร์คหรอกบริษัทไม่น่าเติบโตได้ไม่เห็นจะมีอนาคตตรงไหนเลยเพราะอย่าลืมว่าหากย้อนเวลาไปหลายสิบปีก่อนหน้านี้จำนวนรถยนต์บนท้องถนนยังไม่มากมายสักเท่าไรนะลูกค้าที่มีตังค์พอจะซื้อรถยนต์ได้ส่วนใหญ่ก็คนมีตังค์เท่านั้นแหละแต่หารู้ไม่ว่าพอมาถึงยุคปัจจุบันตลาดรถยนต์เติบโตอย่างมหาศาลส่งผลให้ธุรกิจประกันก็เติบโตอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน

✅ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและเราจะต้องรู้ว่าเรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้างแล้วให้เราลงทุนในขอบเขตที่เรารู้จักมันเป็นอย่างดีเท่านั้นและนี่ก็คือวิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็น 1 ล้านล้านบาทโดยปู่วรเวนบัฟเฟต์พ่อมดการลงทุนแห่งโอมา

=======================

🔥🔥🔥คอร์สเจาะหุ้นเด่นไตรมาส 3/2022🔥🔥🔥เรียน 2 วันเต็ม จุใจ ทั้งกราฟและพื้นฐาน ผ่านZOOM ถามได้ไม่อั้นและเริ่มเรียนสด วันที่ 2/7/2022 และ 3/7/2022(ดูย้อนหลังได้).ผสานความรู้พื้นฐานและเทคนิคเพื่อค้นหาหุ้นแกร่งในไตรมาส 3 และครึ่งปีหลัง.ในสถาณการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีวิกฤติรออยู่หลายลูก ทั้งเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้การลงทุนในครึ่งปีหลังยากมากขึ้นคอร์สนี้จะพาผู้เรียน วิเคราะห์ทั้ง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และรายบริษัท เพื่อให้เห็นภาพอนาคตและเลือกหุ้นลงทุนได้ง่ายขึ้นรวมถึงเทคนิคการเข้าหุ้นให้คม โดยใช้พื้นฐานกรองหุ้น ผสานเทคนิคจับจังหวะ เพื่อการทำกำไรอย่างยั่งยืน

🎯เรียนแล้วได้อะไร.

💸การวิเคราะห์ภาพใหญ่ ตัวเลขเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม พร้อมเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ให้ง่ายขึ้น

💸สรุปมุมมองกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังจากหลายสำนัก

💸วิเคราะห์และหาหุ้นเติบโตโดยผสานพื้นฐานและเทคนิคตามแนวทาง LABHOON

💸เทคนิคการเข้าซื้อแบบ muti time frame เพื่อยืนยันจุดซื้อขายให้คม

💸เคล็ดลับวางแผนจังหวะเข้าซื้อ ขาย ทำกำไรและตัดขาดทุนให้คม

💸การวาง money management ให้มีประประสิทธิภาพ

💸กรณีศึกษา เจาะลึกหุ้นที่เติบโตสวนเศรษฐกิจ มากกว่า 10 ตัว จัดเต็มทั้งพื้นฐานและเทคนิค

พิเศษสำหรับ ผู้ที่สมัครภายใน 18/6/2022 เท่านั้น💰ราคาพิเศษเพียง 12,900 บาท จาก 15,000 บาทและได้รับ สมาชิก labhoon ฟรีทันที 3 เดือน มูลค่ากว่า 2,000 บาท

📱ติดต่อสมัครเรียนได้ที่ line ID: @labhoon📱add line https://urlty.co/TLQ.มาเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อการเทรดอย่างยั่งยืนกันครับ

กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต

กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต
การที่ตลาดหุ้นไทยลดลงประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นช่วงที่น่าสนใจ แล้วหลายคนคงจะทราบไว้แล้วว่าการเกิดวิกฤตทุกครั้งนั้นก็เป็นโอกาสเสมอเช่นกัน เราจะมาคุยกันว่าแล้วอะไรที่เป็นปัจจัยในการที่เราจะเลือกว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือยัง
.
ข้อที่ 1 เราจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่
คือ ณ เวลานั้นควรจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ยกตัวอย่างนะครับ เราสามารถเอาตัวปันผล โดยสามารถเอาราคาผลตอบแทนปันผลที่เราคาดหวังไว้มาลบกับเงินฝากหรือผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นกับตราสารหนี้นั้นจะมีความต่างกันอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ดังนั้นถ้าต่ำกว่า 2% คนก็อาจจะไม่เลือกลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าเพราะว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ถ้าเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆคนก็จะสนใจหุ้นมากกว่าเนื่องจากอาจยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า
.
ข้อที่ 2 ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและไม่หมดอายุ
เพราะเราต้องมองว่าถ้าอยู่ในวิกฤตเราต้องเอาไว้แลกเปลี่ยนเพื่อใช้จ่าย เพราะว่าบางครั้งวิกฤตก็อาจจะยาวนาน
.
ข้อที่ 3 ควรจะกระจายสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสม
เพราะในช่วงวิกฤต มักจะมีผลกระทบไปในหลาย Sector อยู่ในหลายธุรกิจ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะทำกับกันหลังจากผ่านพ้นวิกฤตไปแล้วได้จากธุรกิจก็ดีขึ้นไม่พร้อมกัน ในหุ้นกระจายในหลายอุตสาหกรรมหรืออาจจะหุ้นหลายตัวหน่อย
.
ข้อที่ 4 ควรจะเลือกสินทรัพย์ที่มีปันผล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว
พอดีช่วงวิกฤตนั้นกระแสเงินสดจากการลงทุน ก็ควรจะต้องมีด้วย เพราะจะได้มีกระเเสเงินสดนำมาใช้จ่ายในช่วงนี้ เช่นกัน
.
ข้อที่ 5 ควรจะต้องบริหารความเสี่ยงของราคาด้วย
เราไม่สามารถรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดต่ำสุดของราคา แต่เราสามารถใช้วิธีการ DCA เป็นการซื้อเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลา เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
ในอดีตที่ผ่านมาวิกฤตละครั้งใช้เวลามากน้อยและการลงเป็น%นั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญและมองเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในช่วงวิกฤตนั้นเอง

หุ้นเข้าโซนอันตราย กลุ่มไหนยังมีอนาคต?

ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก รวมหลาๆวิกฤติในช่วง 100 ปี ทั้งโรคระบาด และสงคราม มาฟังแนวคิดของ อ นิเวศ ว่าประเมินอย่างไร ใช้กลยุทธ์แบบไหน

ตลาดหุ้นในช่วง 2009 2019 ที่ผ่านมาวิ่งขึ้นมาสูงมากเนื่องจากภาวะที่เอื้ออำนวยจาก
ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจเติบโต สภาพคล่องสูง นักลงทุนรายย่อยเข้าสูง
ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2009 2019 ครบ 10 ปีมักจะมีวิกฤติ แต่ก็ไม่เกิดวิกฤติ แล้วต่อมา เกิดวิกฤติโรคระบาด

แต่หุ้นตกมาสั้นมาก แทบไม่เป็นวิกฤติ ทุกประเทศเร่งอัดฉีด
และเกิดฟองสบูในหุ้น Hitech ทุกคนเปลี่ยนความคิด ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
สิ้นปี 2021 ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปพีค และทำสถิติใหม่

แต่จากปัจจัย ทันทีทันใดเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน และ supply ขาดแคลนจากการปิดเมืองโดยเฉพาะประเทศจีน
ทำให้ภาพเปลี่ยนราคาสินค้าโภคภัณฑ์วิ่งทั่วโลก และกระทบราคาอาหาร และเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อสูง ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีทั่วโลกตกเละเทะ

Nasdaq ตก 14%
ดัชนีที่ขึ้นไม่มากอย่างไทยลงไม่มาก หุ้นบ้านเราเป็น value
เวียดนามตกไป14% ใกล้เคียง Nasdaq
หุ้นจีนตกไม่มาก เพราะขึ้นน้อย

เข้าไปดูใส้ในของตลาดหุ้นไทย ไทยมีตลาดตัวเล็กตัวกลางที่เก็งกำไรหนัก แต่พวกนี้มีผลต่อดัชนีน้อย

เราไม่รู้อาจจะลงต่อหรือเปล่า ลงมากพอหรือยัง ต่อไปต้องจับตาว่าจะเป็นวิกฤติหรือเปล่า

หุ้นถ้ามองย้อนหลังตั้งแต่ปี 2009 โตมาเรื่อย ๆ ตกนิดหน่อยตอนโควิท และขึ้นไปจุดสูงสุดใหม่ และลงมาแต่ยังสูงกว่าก่อนโควิท 20-30% โอกาสที่จะลงมาต่อยังมี ถ้าเป็นวิกฤติ

รอบนี้ถ้าวิกฤติจะเกิดอย่างไร

รอบนี้เงินยังมีแต่ค่อยๆงวดลงใช้เวลาหลายปี ทำให้ดูลำบาก และตลาดไม่ตกใจ
โอกาสในการทำกำไรคือวิกฤติที่หุ้นตกเยอะๆ แต่ตอนนี้นี้หุ้นยังไม่ตก คน long term ไม่รู้ซื้ออะไร

หุ้น value ก็ไม่ตก แต่เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น growth
หุ้น growth ก็ไม่ได้ตกแรง จน PE น่าสนใจ

ปัจจัยที่กระทบตลาดหุ้น ตัวที่ชัดที่สุดคือ เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย เม็ดเงิน
พอกลับทางน่ากลัวเพราะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น และลดปริมาณเงิน

ถ้าอเมริกาเอาไม่อยู่คือพัง
เวลานี้การใช้นโยบายการเงินของ เฟตเหมือน ศิลปะในจับปลาก็ต้องผ่อนเบ็ด ให้ค่อยๆลง แรกเกินไปก็ลงหนัก

แต่ตลาดหุ้นอาจจะขึ้นได้จากการฟื้นตัวหลังโควิท แต่หลังจากนั้นจะโตอย่างไร
ความมั่นใจมีไม่สูง ถ้าไม่โตต่อก็ลดพอร์ทลงไป

ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอิ่มตัว ทำให้หุ้นไทยไม่ค่อยไปไหนมา 7 ปีแล้ว

ปกติตลาดปั่นป่วนไม่ค่อยทำอะไร หาหุ้นที่จ่ายปันผลดี ธุรกิจไม่กระทบเงินเฟ้ออะไรมากมาย
กิจการใช้ประจำวัน ไม่มีคู่แข่งใหญ่

ระวังหุ้นที่โตช่วงโควิท
โรงพยาบาล ยาว โตดีช่วงโควิต แต่หลังจากนั้นเหมือนเดิม

ภาวะวิกฤติแบบนี้มีวิธีคิดอย่างไร

Value เน้นดูความแข็งแกร่ง และยังโตได้อีกนาน
เศรษฐกิจ 3 เงินเฟ้อ 3 รวมๆโต 6% ก็ดีแล้ว
PE 50-60% ไม่เอา

อ ไปซื้อหุ้นเวียดนาม เพราะรู้สึกเป็นโอกาส หุ้น super stock ของเวียดนามหลายตัว PE ไม่สูง
ตอนนี้มารเกตแคป 100,000 ล้าน ของไทย 500.000 ล้าน อนาคตน่าจะโตกว่าไทยเพราะคนเยอะกว่า
ซื้อทิ้งไว้เหมือนเดิม

เวียดนามได้ปันผลแง่%ดีกว่าไทย แต่เม็ดเงินน้อยกว่า

ตลาดหุ้นไทยไม่รู้จะเกิดวิกฤติหรือเปล่า แต่ยังถือว่าดีกว่าถือเงินสด
หุ้นกู้เริ่มดี ดอกเบี้ย4% เริ่มมา

หุ้น growth stock ยังอยู่ได้ เพราะหุ้นถือ conner เยอะมากเพราะเขายังไม่ปล่อย ไม่เขื่อนแตก

หุ้นไทยกลุ่มไหนดีสุด
มั่นใจสุดคือค้าปลีกเพราะสะท้อนเศรษฐกิจไทย พวกนี้มั่นใจว่าตามเศรษฐกิจ
ผู้ชนะจะกินตลาดได้เยอะมาก
ธนาคารทุกคนใช้แต่จะมี moment เรื่องหนี้เสีย
พลังงานมีความผันผวน
วัสดุก่อนสร้างเกี่ยวกับคน ถ้าคนใหม่เกิดน้อยลง รัฐไม่ลงทุน

โดยรวมแล้ว อ นิเวศน์ มองว่าตลาดความเสี่ยงสูง แต่ถ้ากิจการเสี่ยงไม่สูงก็อยู่ได้ และไปลงทุนต่อยอดหุ้นsuper stock ในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างเวียดนาม

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=PbZ7gebmVPE

สรุปแนวคิด วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ประชุมผู้ถือหุ้น 2022

สรุป บทสัมภาษณ์ของ วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ในการประชุมผู้ถือหุ้น และการวิเคราะห์โดยคุณ art จากเพจ club vi ที่ช่วยขยายความคำพูดของทั้งสองว่ามีนัยยะอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจแนวคิดของเซียนหุ้นทั้งสองได้ลึกขึ้น เชิญอ่านโดยพลัน

1.กลับมาช้อนหุ้น

ปีนี้ ปู่ซื้อหุ้นจัดหนักมาก 4 เดือนซื้อไป 3.4 ล้านล้าน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแบบ old school น้ำมัน เชฟร่อน HP ไม่ใช่เทคล้ำๆแบบที่กำลังฮิตกัน
หลายคนบอกว่าปู่แกตกยุค แต่ปู่ไม่เคยเปลี่ยนกลยุทธ์ สุดท้ายปู่ก็สามารถทำผลตอบแทนไปได้เรื่อย ๆ
การตามกระแสเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบ พอกระแสมาก็จะตามกระแสแล้วลืมสิ่งที่เรารู้

2.มุมมองเรื่อง Bitcoin

ชาลี มังเกอร์ ปีนี้จัดหนัก มังเกอร์พูดว่า ชีวิตเหลีกเลี่ยง โง่ ชั่ว ทำให้ตัวเองดูแย่

  • โง่เพราะมีโอกาสเป็น 0
  • ชั่ว เพราะทำลายกระบบอัตราแลกเปลี่ยน
  • ทำให้ตัวเองดูแย่เพราะ ทำทั้งสองเรื่องนี้

ส่วนปู่ ก็มองเหมือนทองคำ ที่ปู่แกก็ไม่เคยซื้อเหมือนกัน เพราะไม่เป็น productive asset สินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล เหมือน บริษัทขุดน้ำมัน ไร่ นา ที่มีผลิตผลมาเรื่อยๆ จะได้กำไรก็ต้องซื้อไปแล้วมีคนมาขอซื้อในราคาที่สูงกว่า

3.ยุค Tribal การแห่ตามกระแส

วอเร็นไม่เคยเห็นยุคไหนที่ การแห่ตามกระแสชัดขนาดนี้ เข้ามาทำอะไรตตามๆ กันแล้วเจ้งไปตามๆกัน เช่น tech stock
โดนกรอกหู้ซ้ำๆ ไปทำตามแล้วก็เจ้ง จงเชื่อ่ในตัวเอง อย่าให้คนอื่นตัดสินเรา

4.หุ้นเทคจีน

ชาลี มองว่าตลาดจีนหาหุ้นที่ดีในราคาถูกได้ แต่มีความเสี่ยงทางการเมือง ส่วนปู่ไม่พูดอะไร

5.การจับจังหวะตลาด

ไม่แนะนำให้จับจังหวะตลาดเป็นสิ่งที่มีมีประโยชน์
ปู่ยังทำแบบที่ทำมาเสมอคือ กล้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัว
แต่ที่ทายถูกเสมอ เช่นปี 2008 ย่ำแย่ไปหมดปู่ก็เข้าไปซื้อแล้วได้กำไร
2020 คนอื่นกำลังโลภ วอเร็นกำลังกลัว

6.ปู่บอก เศรษฐกิจ อเมริกาดี ปู่ bias ไปหรือเปล่า

ปู่ไม่ได้ เชียร์ เฉพะ อเมริกา แต่ก็เคยเชียร์จีน ยุโรป ด้วย
ส่วนจะดีต่อไปไหม ปู่อย่าเดิมพันตรงข้ามอเมริกา การลงทุนในประเทศผู้ชนะดีเสมอ

ถ้ากลัว bias ให้มอง เร ดาริโอ ที่มองแต่ละประเทศจะสลับกันเติบโต และ cycle ของอเมริกาเริ่มทำจุดสูงสุด
คุณ art club vi มองว่า คนอเมริกายัง innovative เศรษฐกิจยังไปต่อได้ แต่ไม่แน่ cycle อีก 10-20 ปี บริษัทจากจีนอาจชนะก็ได้

7.สิ่งที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวเอง

ลงทุนในสิ่งที่คุณชอบ มีสิ่งที่ทำให้คุณดีขึ้นเรื่อย แล้วผลลัพทจะดีเอง

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักลงทุนที่ดี ถ้าลงทุนไม่เก่ง ก็ชื้อกองทุนดัชนีไป สุดท้ายคุณก็รวยได้เหมือนกัน
คุณ art เคยทำสถิติส่วนตัว ถ้าลงทุนในกรอบ 30 ปีที่ผ่านมาได้ 2000% ไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็ตาม

8.ปู่ สนใจซื้อบริษัทท่างชาติไหม

ปู่บอกว่าเปิดสำหรับทั่วโลก แต่ขนาดต้องใหญ่พอ
ปู่ชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคย นานๆทีจะซื้อในต่างประเทศ เพราะในประเทศอเมริกาก็ยังซื้อได้ เป็นขอบข่ายชำนาญทางภูมิศาสตร์

9.เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อเกิดจาก suppy disruption ระหว่าง covid หลายบริษัทก็ ลดคนงาน ลดกำลังการผลิต อุปทานไม่ทันอุปสงค์ ท่าเรือเต็ม ตู้ข่าด ไม่ได้เกิดจากเงินเข้าในระบบ

ปูบอกว่า เงินเฟ้อส่งผลเสียจริงๆ สมมติค่าเงินลดลง 90% ทุกธุรกิจเจ็บปวดหมด ยกเว้นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนต่ำ เพราะสามารถขึ้นราคาได้ แต่ก็หายาก

  1. เงินสด

Berkshire เก็บเงินสดไว้เยอะ เหมือน ออกซิเจน แต่ถ้าอากาศไปเราจะรู้สึกทันที
แม้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปมากมาย แต่เราจะมีเงินสดไว้เสมอ

11.อยากบริหารบริษัทให้ได้แม่ว่าระบบการเงินล่มสลาย

ลงทุนในบริษัทอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ชอบโค้กเพราะต่อให้ตลาดหุ้นปิดไป10ปี โค้กก็ยังบขายได้อยู่

จะเห็นว่าคำพูดของปู่ช่างคมคายยิ่งนัก และยิ่งมีคนที่ตามงาน ปู่มานานมาอธิบาย ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้ง

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=VRP1igh6gyA

หุ้นเวียดนามจบรอบแล้วหรือยัง

เห็นหุ้นเวียดนามลงมาเยอะ มาฟังความเห้นจากจาก ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และคุณชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ จากบัวหลวงครับ ว่าภาพระยะสั้นและระยะยาวเป็นอย่างไร และหุ้นหรือกองทุนกลุ่มไหนที่จะได้ประโยชน์ในระยะยาว

สำหรับการลงในช่วงนี้ ดร นิเวศน์มองว่าเป้นการปรับตัวทางเทคนิคตามอเมริกาที่ลงหนัก แต่ ระยะยาวเวียดนามยังไปได้อีกเยอะ

ถ้าประวัติศาสตร์ ตลาดเวียดนามเป็นประเทศเกิดใหม่ โตไว ญี่ปุ่น ไทย เวียดนนาม
พบความจริงว่า ตลาดหุ้นของท้ง 3 ประเทศ ประเทศพวกนี้จะเติบโตยาวมาก เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 40 ปี
หลังจากนั้นจะ Maturity และ Decline 20 ปีแรกจะโตไวมาก 20 ปีหลังจะชะลอลง แต่ก็ยังโต หลังจากนั้น decline

ญี่ปุ่น เริ่มเปิดตลาดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 4 ปี 1949 ผ่านไป 22 ปี ดัชนีชึ้นจาก 100 ไป 2,700 โตปีละ 16% จากนั้น 18 ปี 2700 – 37,000 20 ปีหลัง 15.7

พอครบ 40 ปี all time ใน 1971 32ปีหลังจากนั้น 37,000ลงมา 27,000 ลบมา 1% ทุกปี

สำหรับประเทศไทย เปิดตลาดปี 2518 ผ่านไป 22 ปี โตปีละ 10% กว่า 2539 ไปพีคที่ 1500 เกิดวิกฤติ ใช้เวลา 18 ปีถึงปี 2557 หุ้นโตแค่ 2.8% 40 ปีหุ้นเราโต 7% บวกปันผล 2-3% เป็น 9%

พอ 2557 ครบ 40 ปี หลังจากนั้น 7 ปี หุ้นโตปีละ1% กว่า

เวียดนามเปิด 22 ปี เปิด 2000 ปีนี้ 2022 ขึ้นมา 12.6%

เวียดนามอีก 18 ปีต้องไปได้อีก เวียดนามตอนนี้ไม่เหมือนเมืองไทย

ชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ

ในระยะสั้นน่ากลัวหรือเปล่า กองแต่ละกองมีการเปิดไปเวียดนามเยอะมาก สะท้อนภาพอะไร

คุณชัยพรบอกว่า เหตุการของเวียดนาม ย้อนไปเหมือนช่วงที่เรียนจบเข้าตลาดหุ้น

เริ่มเข้าตลาดหุ้น 2535 เข้ามาตลาดหุ้นอยู่ 600 จุด ฟื้นตัวจากสงครามตะวันออกกลาง ไทยถูกมองว่าเป็นเสือตัวที่ 5
ตลาดหุ้นไทยคึกคักมาก มีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามา

กำลังเทรดอยู่ดีๆ มีข่าวให้ตลาดปรับตัว คือการจับเรื่องการปั่นหุ้น
ถ้าดูโครงสร้างของนักลงทุนเวลานั้น ส่วนใหญ่เป้นรายย่อย สถาบันไม่ค่อยมีบทบาท
แต่ปัจจุบันสถาบันและต่างชาติ มีสัดส่วนสูงข้น

เวียดนามกำลังเจอแบบเรา ที่รายย่อยล้วนๆ และมีเรื่องของการจับการปั่นหุน
เกิดจากเวียดนามพยายามปรับโครงสร้างมาตรฐาน กฎระเบียบให้เป็นสากล
เพื่อปรับจาก frontier market ให้เป็น emerging market

สมัยนั้นที่ไทย คนแห่ขายเพราะไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองกำลังเทรดจะโดนการตรวจสอบปั่นหุ้นหรือเปล่า
กระจายเป็นโดมิโนไปหุ้นหลายตัว เหตุการนั้นกระทบประมาณ 3 เดือน
สุดท้ายก็ไปที่การเปิดระบบการเงิน กู้เงินต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ทำให้หุ้นข้นเป็นรวดเดียวเกือบ 800 จุด

สำหรับตลาดหุ้น เวียดนามหลุดค่าเฉลี่ย 200 วัน
เกิดจากเวียดนามเอาจริงเรื่องปั่นหุ้น เพราะตรวจเจอปุ้บจับติดคุกเลย
หุ้นเวียดนามส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ประกอบกับเวียดนามปีที่แล้ว ขึ้นมาเยอะ เป็นโอกาสเลยแล้วกันที่จะ เทกกำไร

กองทุนต่างๆ พยายาม ระดมทุนไปลงทุนในเวียดนาม เป็นเรื่องปกติ ที่เห็นประเทศไหนโดดเด่นมาก ก็จะดึงดูดความสนใจ นักลงทุน และกองทุนออมาเยอะ ตรงกับการขายทำกำไรพอดี

คนลงทุนไนเวียดนามเข้าใจภาพระยะยาว ว่าเป็นเหมือนเมืองไทนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว
ในยุคนั้นสถาบันการเงิน และอสังหาเป็น sector ใหญ่ เพราะประเทศไทยอยู่ในช่วงของการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

โครงสร้างคนส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุน้อย ในขณะที่ประเทศไทยเข้าสังคมผู้สูงอายุ

เวียดนามสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน รถไฟฟ้าเพื่อรองรับการขนส่ง

ถ้ามองทั่วเลขเศรษฐกิจ Gdp ขยับขขึ้นมาเรื่อยๆ เกิน 6%
เงินเฟ้อยังไม่สูงจุดพลุขึ้นไป สิ่งที่น่าสนใจ การส่งออกและการนำเข้ายังโตในระดับดีมาก
Current account เป้นบวก ตรงข้ามกับไทยที่สมัยนั้นติดลบมาตลอด
เพราะเห็นบทเรียนจากประเทศไทยเพราะจะเป็นจุดอ่อนในการโจมตีเรื่องคาเงิน

เรื่องค่าเงินสมัยก่อน เราเห็นค่าเงินเวียดนาม สวิงมาก
ผานมา 3 ปี ค่าเงินเวียดนามนิ่งมาก แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการ

ตอนนี้เวียนนามกำลังรวมตลาด 2 แห่งของเขา
โครงสร้งของ vn30 ส่วนใหญ่เป็น ธนาคาร และอสังหา และ commodity

เหล็ก เวียดนามคือช่วงสร้างบ้านเสร้างเมือง เหล็กจะเจริญเติบโตได้ดี

เลยออกตัว Diamond เพราะอันดับ 1-2 ของกลุ่มเป็น การเงิน และค้าปลีก สะท้อนการสร้างบ้านสร้างเมือและการบริโภค

ดรนิเวศน์

เทคโนโลยีก้าวข้ามอย่างโทรศัพท์ข้ามเป็นมือถือเลย
หลายเทคโนโลยีข้ามไม่ได้ เพราะเวียดนาม ภูมิประเทศเหมือนไทย คนไปเพราไปตากแอร์ ไปทำอะไรที่เดียวจบ
เทคโนโลยีเวียดนามจะไปไวกว่าไทย เพราะใหญ่พอ และสังคมนิยม รัฐบาลมีอำนาจพอสมควร

Spg ทำโปรแกรมขายทั่วโลก ทำแทบไม่ทัน ต้องไปเปิดมหาวิทยาลัยของตัวเอง นักศึกษาท่วม
vinfast ไปสร้างรถไฟฟ้าที่อเมริกา ที่กลับมาขายอเมริการและกลับมาเวียดนาม

คล้ายๆเกาหลี ที่ผลิตมาขายแข่งเลย ต้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า

ดร เน้นลงทุนในอะไรที่แน่นอน โรงไฟฟ้า และค้าปลีก
เพราะหลายประเทศไปลงทุนที่เวียดนามเพราะชดเชยจากจีน เพราะ productivity ดีกว่า
เจริญเพราะนักลงทุนต่างเทศ ต้องการแรงงาน แรงงานก็ไปบริโภค ซื้อบ้าน เดินห้าง
การท่องเที่ยวต่อไปจะดึงคนเข้าไปเที่ยว
ดูแล้ว 18 ปีข้างหน้าสบายๆ ทุกวันนี้ส่งออกมากกว่าไทยไปแล้ว จะแซงประเทศไทย
สัดส่วนส่งออกต่อ gdp มากกกว่าไทย

ส่งที่พัฒนาตอนนี้เป็นการส่งเสริมอนาคต เป็นการลงทุน ไม่ใช่การอัดฉีดให้ใช้จ่าย

คนจะขยับจากต่างจังหวัดมาไทย มากขึ้นเหมือนกันไทย

สนใจโรงไฟฟ้า และค้าปลีก ขอบริษัทที่กำไรไม่จำเป้นต้องเป็นผู้ชนะ แต่ค้าปลีกต้องเป็นผู้ชนะ
ต่อไปจะมากกว่าไทย เนื่องจาก sme ไม่ค่อยแข็ง เพราะ sme หายไปช่วงเวียดนามใต้แพ้
ส่วนใหญ่เป้นรายใหญ่มาเลยกำลังแข่งกัน ยังไม่มีผู้ชนะชัดเจน
sector ที่จะเป็นผู้ชนะมีมากกว่าไทย
โรงพยาบาลยังมีไม่เยอะ
ผู้ให้บริการมือถือ มีของหลวงยงไม่โดดเด่นขนาดนั้น

ซื้อ Diamond ต่างชาติที่อยากซื้อ เป็นหุ้นแนว super stock

ชัยพร

ทำไมต่างชาติขายเวียดนาม

จริงเวลาพูดถึงต่างชาติ คนไทยไปเวียดนามก็คือฝรั่ง
ปีที่แล้วลูกค้าบัวหลวงก็เยอะ และเทคกำไรบางส่วน ในระยะสั้น
Pe ของตลลาด กำไรโตกว่าปรเทศไทย แต่ PE 15 เท่า
การที่ตลาดลงแต่ กำไรไม่ลง แสดงว่าถูกลง

เวียดนามมองว่าระยะสั้น เหมือนไทยคือโดนโควิทมาด้วยกัน
การบริโภคก็คล้ายประเทศไทยต้องใช้เวลา กว่าจะกล้ากินข้าว และท่องเที่ยว
เวียดนามพอโควิทไม่ขึ้น การเดินทางเริ่มกลับมา ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวของการบริโภค
สิ่งต่างๆเหล่านี้กำลังกลับมา

ก่อนหน้านี้คนเดินห้างน้อย ก็ต้องลดค่าเช่า ให้ร้านพวกนี้ยังอยู่
เวลาต่อไปเริ่มปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น

ตลาดอาเซียนปีนี้เล่นดีมาก
ของไทยนักลงทุนมีความรู้มากขึ้น กองทุนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดหุ้น มีผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสเถียรภาพมากขึ้น
และรอบเศรษฐฏิจที่ ช้ากว่าฝังอเมริกา นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา

กองทุน Diamond pe 15 เท่า ต่ำกว่า growth ไม่เหมืนประเทศไทยที่ ถ้าเจอหุ้นที่เติบโตสูง pe จะสูงกกว่า growth

ขณะเดียวกัน growthที่เกิดขึ้นจะอิ่มตัวประมาณเมื่อไร สำหรับประเทศไทย กำไรที่ลดลงเกิดจากโครงสร้าประชากรที่เปลี่ยนแปลง

ถ้าย้อนไปดู 2015-2020 การเตบโตของกำไรแทบไม่เติบโตมากแล้ว แต่ก่อนโตจาก การลดภาษี และการอุดหนุนสินค้าเกษตร
ทำให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อไม่ได้ ทำได้แต่ rotation แต่ ดัชนีไม่ไป

แต่เวียนดนามไม่เห็นภาพนั้น เพราะการเติบโตของกำไรยังไปได้ 10-12 ได้ต่อ

ความเสี่ยงเรื่องนโยบายนาจะน้อยกว่า เพราะเศรษฐกิจใหญ่ทุกคนต้องเอาใจ ทุกวันนี้โตจากการเปิดประเทศ โดยเฉพาะตะวันตกที่นำเข้าสินค้าเยอะ

โดยรวมแล้วยังเห็นอนาคตของประเทศเวียดนามที่ยังไปได้อีกยาว จากโครงสร้างประชากร และการขยายตัวทางเศรษฐกิจการจากลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อคนมีเงินก็จะเริ่มใช้จ่าย หุ้นค้าปลีกก็จะมาต่อไป

สรุปหนังสือใหม่ Ray Dalio วิธีรับมือระเบียบโลกในอนาคต ตอนที่ 1

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนระเบียบโลกมันเกิดจากอะไร เราจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดีได้อย่างไร คุณเชื่อไหมครับว่าแพทเทิร์นการขึ้นมาและทดถอยของแต่ละประเทศนั้นมันคล้ายกันหรือแทบจะเหมือนกันเลยมันมี Pattern เหมือนกัน ภาพภูเขาจะบอกว่าไม่ว่าจะประเทศอะไรก็ตามในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ มันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเชิงรายละเอียด ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามจะถอดรหัสว่า
.
1.มันรุ่งหรือมันร่วงได้อย่างไร
2.แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเราจะรับมือกับมันและเตรียมตัวได้อย่างไร
3.นักลงทุนควรทำอย่างไร เมื่อระเบียบของโลกมีการเปลี่ยนแปลง
.
หนังสือเล่มนี้จะมีการพูดถึงบิ๊กไซเคิล จะบอกว่าสัญญาณชีพที่จะบอกว่าแต่ละประเทศ เป็นมหาอำนาจและกำลังจะจบลง มันเกิดจากอะไรและแพทเทิร์นนี้เป็นอย่างไร คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบในอนาคตของโลกจะแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามจะมีแพทเทิร์นที่คล้ายกันอย่างแน่นอน คุณเรยดาลิโอได้เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมาอย่างยาวนานแล้วเขาเองก็ได้เจอประสบการณ์ที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังถึง 500 ปีย้อนหลัง

ในปี 1971 สหรัฐอเมริกามีเงินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ ตอนนี้สหรัฐนั้นได้ผูกเงินกับทองคำ เงินดอลลาร์จะมีค่าเพียงสามารถนำมาได้เป็นทองคำได้หรือมันแค่เช็คเท่านั้น เพราะตอนนั้นทองคำคือเงินที่แท้จริงนั้นเอง สหรัฐนั้นจะใช้เงินไปมากและมีทองคำไม่เพียงพอจากปริมาณเช็คเงินที่ได้ใช้เอาใช้นั้นเอง และหลังจากนั้นเองคนที่เงินดอลลาร์ก็รีบเอาเงินไปแลกทองคำเพราะกลัวว่าจะไม่มีทองคำให้ ในเย็นวันที่ 25 สิงหาคม ประธานาธิบดีริชาร์ดนิกสัน ได้ออกโทรทัศน์และพูดเป็นนัยๆว่าสหรัฐกำลังจะเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเรียกว่า Nixon shock แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกดอลลาร์ผูกกับทองคำ ตอนนั้นคุณคุณเรยดาลิโอ้คิดว่าตลาดหุ้นต้องดิ่งเหวแน่นอน ตลาดหุ้นก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มันน่าประหลาดใจมากเพราะเขาไม่เคยเจอกับการลดค่าเงิน เขาจึงไปค้นประวัติศาสตร์แล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแม้แต่ในอเมริกาเองก็ตามเกิดขึ้นในปี 1933 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ตอนนั้นทองคำก็ผูกกับดอลลาร์แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกการผูกขาดเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายได้อย่างมากขึ้นเพียงแค่พิมพ์เงินออกมา และเนื่องจากความมั่งคั่งของประเทศนั้นก็ไม่ได้มากขึ้นตามจำนวนธนบัตรที่มากขึ้น ทำให้คุณค่าของเงินดอลล่าแต่ละดอลล่ามีลดลงเรื่อยๆ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นไปดันในหุ้นและทองคำขึ้นเป็นจำนวนมาก คุณเรยดาลิโอ้ ได้ค้นพบถอยย้อนไปมากๆก็ได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต จากประเทศที่เป็นผู้นำ ณ ช่วงเวลาต่างๆเนื่องจากมีการใช้จ่ายมากกว่าภาษีที่เก็บได้นั่นเอง ซึ่งทำให้ราคาสินค้าชนิดต่างๆได้สูงขึ้นนั้นเอง
คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางนั้นพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากให้คุณซื้อหุ้นทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเอง คุณต้องเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต คุณเรยดาลิโอ้จึงศึกษาฟองสบู่จากในอดีตมาเรื่อยๆทำให้คุณเวลาเท่านั้นทำกำไรได้อย่างมากมายและรอดพ้นจากวิกฤตในช่วง 2008
.
3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก คือ
.

  1. หลายประเทศไม่มีเงินเพียงพอจะชำระหนี้จึงต้องพิมพ์เงินออกมาแม้จะลดดอกเบี้ยเหลือ 0 แล้วก็ตาม
    .
  2. มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเนื่องจากช่องว่างของความมั่งคั่งและความเชื่อทางการเมือง
    .
  3. มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นจากภายนอกระหว่างชาติมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นและชาติมหาอำนาจที่กำลังจะถดถอยลง ปัจจุบันก็คือจีนกับสหรัฐนั่นเอง
    เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบของโลกซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงปี 1930 1945 ในช่วงที่ใกล้ที่สุด
    ระเบียบโลกคืออะไร ระเบียบโลกคือระบบการปกครองที่ทำให้ผู้คนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ละประเทศก็จะมีแบบภายในเป็นของตัวเอง แล้วมีระเบียบจากข้างนอกด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นระเบียบจะภายในหรือภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสงคราม เช่นรัสเซียเกิดการปฏิวัติการปกครอง จีนเองสมัยเหมาเจอตุงก็เช่นกันคือพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาล้มระบบเก่า ก็คือที่เรียกว่าอำนาจใหม่นั้นชนะอำนาจเก่า
    แต่ยุคที่พวกเราอยู่นั้นเกิดมาก็คือยุค ระเบียบโลกของปัจจุบันก็คือสหรัฐอเมริกา ระบบการเงินของโลกปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ที่เรียกว่า Bretton Wood คือระบบที่ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
    ราคาดอลลาร์นั้นเป็นเงินสกุลหลักของโลกในการเป็นทุนสำรองนั่นคือเงื่อนไงที่ทำให้ประเทศนั้นเป็นมหาอำนาจของโลก ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เรียกว่า Big Cycle
    คุณเรยดาลิโอ้ได้ศึกษา 10 จักรวรรดิที่รุ่งเรืองตลอดมาในโลก เช่น ดัช เหรียญ กิลเดอร์
    อังกฤษ เหรียญ Pond มีความยิ่งใหญ่ถดถอยและมีการขึ้นมาแทนเสมอๆเป็นต้น
    วงจรหนึ่งนั้นกินเวลาประมาณ 250 ปี และมีช่วงซ้อนทับประมาณ 10-20 ปี และโชคดีคือเราอยู่ในช่วงนี้ครับ
    มี 8 มาตรวัดในการดูว่า ชาติใดเป็นมหาอำนาจ
    1.เรื่องการศึกษา
  4. นวัตกรรมและเทคโนโลยี
  5. ความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
  6. ผลผลิตทางเศรษฐกิจ
  7. ส่วนแบ่งทางการค้าของโลก
  8. ความเข้มแข็งทางการทหาร
  9. ความแข็งแกร่งทางการเป็นศูนย์กลางทางการเงินสำคัญของโลก
    8.ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ในฐานะสำรอง

มาตรวัดเหล่านี้เมื่อทำมาแล้วให้ทำด้วยวิธีการหาค่าเฉลี่ยถ้าประเทศไหนมากสุดประเทศนั้นก็คือมหาอำนาจ สามารถมองเห็นได้ว่าประเทศไหนมีโอกาสทั้งอัดขึ้นและประเทศไหนกำลังจะถดถอยลง การศึกษาที่ดีพัฒนาไปสู่การสร้างเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมาตรฐานดีก็ก็จะนำไปสู่ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง แล้วมีผลลัพธ์ตามมาตรวัดทั้ง 8 อย่างนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ รายการถดถอยนั้นก็ลง 8 อย่างคล้ายๆกัน

ช่วงไหนที่มีช่วงรุ่งเรืองมากๆ ในช่วงที่มีความสงบคนก็อยู่สุขสบายแล้วมีการเดิมพันมากเรื่อยๆ กูยืมเงินต่อไปเรื่อยๆเพื่อนำมาพนันกับความรุ่งเรืองต่อไปอีก ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าการนำไปสู่ของสบู่ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งนั้นหรือสกุลเงินหลักนั้นก็ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน เขาจะเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง ระหว่างคนรวยและคนจนที่ห่างกันออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้น พอฟองสบู่แตกก็จะนำไปสู่การพิมพ์เงิน และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจักรวรรดิก็จะเกิดความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อเป็นปัญหาภายในมากขึ้นอำนาจของจักรวรรดินั้นก็เริ่มลดลง แล้วก็ถ้าเกิดปัจจัยภายนอกเข้ามาท้าทายอำนาจเก่าก็คืออำนาจใหม่ เป็นปัจจัยภายนอกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเกิดในรูปแบบของสงคราม หลังจากนั้นผู้ชนะก็จะมาเป็นผู้สร้างระเบียบโลกใหม่ ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นย้อนไปได้ถึงจักรวรรดิโรมันเลยทีเดียว ซึ่งเกิดเป็นมหากาพย์ 500 ปี ประเทศก็เหมือนคนมีการเกิดแก่เจ็บตาย
วิธีการดูที่ดีที่สุดคือ Health Indicator เค้าได้ค้นพบว่าประเทศก็มีสุขภาพเหมือนกันซึ่งเขาแบ่งแยกมาเป็น 8 ชนิด
ช่วงเวลา Big Cycle แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 1 รุ่งเรือง 2 รุ่งโรจน์ 3 เสื่อมถอย
ช่วงรุ่งเรือง ผู้นำจะต้องทำ 4 ข้อ
1.มีอำนาจรวบรวมเสียง จากการสนับสนุนเป็นส่วนมาก
2.ลดอิทธิพลฝ่ายตรงข้าม ดูวิธีการต่างๆ
3.จัดตั้งระบบ และสถาบัน ที่ทำให้ประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เช่นรัฐธรรมนูญ
4.ระบบการสืบทอดอำนาจ ให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้บริหารต่อไป

และสิ่งที่สำคัญก็คือประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง แล้วนอกจากความรู้แล้วจะต้องบ่มเพาะอีก 3 บุคลิก
1.บุคลิกของความเข้มแข็ง

  1. ความมีอารยะ
  2. ความปรารถนาในการทำงานหนัก
    สิ่งเหล่านี้จะเกิดจากผู้นำครอบครัวและศาสนา รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องไม่มีการคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้พวกเค้ามีเป้าหมายปรองดองสามัคคีกันและช่วยผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาผลิตจากสินค้าพื้นฐานและไปผลิตสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีแทน ซึ่งก็คือนวัตกรรมนั้นเอง

สรุปสุดยอดแนวคิด เส้นทาง เซียนฮง กว่าจะถึงวันนี้ผ่านอุปสรรค์มาได้อย่างไร

1.จุดเริ่มต้นการลงทุนในปี 2004 เพราะเห็นเพื่อนเล่นแล้วได้กำไร แต่ช่วงนั้นเกิดจากตลาดเป็นขาขึ้น ซื้ออะไรก็ได้เงิน ทำให้เริ่มต้นจากการหาความรู้ โดยการตั้งคำถามใน webboard thaivi.org (ไปค้นชื่อ login hongvalue ได้ คมทั้งคนถามและคนที่ช่วยกันตอบ )

2 ช่วง 1-2 ปีแรก ยังไม่สำเร็จ เริ่มไปทำขายตรง ทำอยู่เกือบปี ไม่สำเร็จจึงกลับมาดูหุ้นจริงจัง

  1. เริ่มจับหลักไม่ถูก ยังไม่เข้าใจธุรกิจ ซื้อๆตามหนังสือเช่น บรษัทดี มีหนี้น้อย สินทรัพย์เยอะ แต่เล่นขาดทุน เพราะธุรกิจไม่ดี หรือธรุกิจเป็นหุ้นรับเหมาไปซื้อตอนกำไรเยอะๆ อีกปี กำไรหายเพราะไม่มีงานน
  2. สำเร็จ 2 องค์ประกอบ 1 อดทนนานพอ 2 อยู่บนเครื่องมือที่ถูกต้อง เหมือเราใช้รถยยก ทำไปเรื่อยๆก็สำเร็จ
    .
  3. รู้ได้ไงว่าเครื่องมือถูกต้อง นักลงทุนควรเริ่มจากบัฟเฟตกับปีเตอร์ลินซ์ ถ้าเริ่มจากคนที่กำไรเยอะๆปีเดียว อาจเริ่มต้นผิด เอาโมเดลจากคนที่เงินก้อนใหญ่ และบริหารงานในระยะเวลายาวนาน สะท้อนวิสัยทัศน์ถูกต้อง
    มีภูมิคุ้มกัน เริ่มถูกแรกอาจไม่เห็นผลแต่ 2-3 ปีเริ่มจับจุดได้
    .
    6.แนวคิดสำคัญเช่น หาบริษัทที่มี moat (ทำให้รู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน) หุ้น 6 ประเภท (ทำให้แยกประเภทหุ้นได้ หุ้นที่วิ่งแรงๆประกอบด้วย หุ้น turnaround growth comodity เท่าที่ผมตามมาส่วนใหญ่จะกำไรหนักๆจากหุ้นกลุ่มนี้ )
    .
    7.วิเคราะห์ธุรกิจไม่ได้มองแค่ตัวเลข แต่ต้องรู้ถึงราก เช่นตัวเลขทางการเงิน ยอดขายมากกว่ามูลค่าตลาด ธุรกิจนั้นเอจเป็น margin ต่ำ, รับเหมาที่ความแน่นอนน้อย, รายได้โตเยอะ แต่ซื้อไปแล้วรายได้ลด
    .
  4. เริ่มมองตัวธุรกิจมากขึ้น บริษัทมีความสมารถในการแข่งขัน และเติบโตได้มากกว่านี้

อะไรเป็นวิกฤติของการลงทุน

  1. เจอว่า market wizard บอกว่าการขาดทุนครั้งใหญ่เกิดตามมาจากการกำไรครั้งใหญ่ตอน คุณฮงบอกว่า ซัพพรามกระทบน้อย หนักตอน 2011 ช่วงน้ำท่วม พอร์ทเละ หลังจากที่ปี 2009-2010 พอร์ทโตไวมาก 20 เท่า
    .
    11.ขาดทุนหุ้นหลักทรัพย์ ตอนนั้น ไตรมาสแรกกำไรโตเยอะ ก็เอามาคูณ 4 บริษัทชอบจ่ายปันผล 75-80 ของกำไร
    กลายเป็นว่ากำไรไตรมาส 2 กำไรหายไปเยอะผิดคาด ราคาหุ้นลงเยอะ ปีนั้นโดนติดกันอีก 4-5 ตัว ทั้ง หุ้น coomo ถั่วเหลือง นิคมไปทำโรงไฟฟ้า

    12.ตอนสร้างพอร์ทไม่ได้สร้างมาด้วยวิธีแบบนั้น จาก 75 ล้านเหลือ 32 ล้าน พอร์ทลงไปครึ่งนึง
  2. ตลาด 2011 แตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ติดการเล่นกราฟมาจากช่วงตลาดกระทิง
    2011 หลุดแนวรับโยนแล้วเป้บเดียวก็เด้ง เข้าใหม่ก็ลงอีก
    .
    14.ถือ warrant ของอสังหาตัวนึงแล้วอสังหาโดนน้ำท่วม วันที่ซื้อ warrant คิดว่าราคาขึ้น 60 เท่า ผ่านไปอีกปีราคาหุ้นไป 1600% ในปีเดียว
    .
    15.ได้บทเรียนว่าถ้ามั่นใจในพื้นฐานหุ้น ให้น้ำหนักกับข่าวภายนอกให้น้อยลง ลงทุนหุ้นที่มีความสามารถในการแข็งขันและมูลค่ายังไม่แพงเกินไปก็จะวิ่งขึ้นไปได้ท่ามกลางข่าวพวกนี้

    16 2013 ชีวิตการลงทุนสวิงมาก พอร์ทประมาณ 70 ล้าน ใช้เวลาไม่กี่เดือนไป 200 และลงมา 100
    พอร์ทลงเร็ว

    ความผิดพลาดจากการใช้มาร์จิ้น ไปซื้อหุ้นสื่อสารตัวนึง intuch ประมูล 3G ผ่าน สัมปทานจากเสีย 25% ของรายได้ จะเหลือ 6% มองไม่เห็ฯว่าจะแพ้ยังไง เริ่มซื้อจาก 70 บาทใช้ มาร์จิ้นแบบเต็มที่ หุ้นintuchวิ่งจาก 70-100 แค่ปันผลก็คุ้มมาร์จิ้น

    17.แต่พอเล่นไปมองพื้นฐานบริษัทผิด รายได้ไม่โตเพราะ nonvoice โต แต่ voice ไม่โต บริษัทได้ค่าสัมปทาน 6% ต้องให้ลูกค้าย้ายไปใช้ ต้องใช้ค่าการตลาดเยอะมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม กำไรลดลง หุ้นตก และใช้ margin ทำให้พอร์ทลงไปอีก
    ..
  3. ประเมินธุรกิจอย่าใส่สมติฐานดีเกินจริง มีคนทักท้วงแต่ไม่เชื่อ งบออกหลังจากที่หุ้นลงไปแล้ว ทำให้รู้ว่าเราคิดผิด
    .
  4. สรัทธากับงมงาย จะแยกอย่างไร ถ้าทำการบ้านมาเยอะไม่ใช่ความงมงาย แต่ระหว่างทางถ้าไม่มีแผนการณ์คือความงมงาย สภาพแวดล้อมที่ดี อ่านหนังสือเยอะๆ และอยู่กับคนที่ไม่ทำลายความฝันชาวบ้านจะเอื้อให้เราสรัทธาตัวเอง
    .
    20.ผ่านได้ด้วย การเปลี่ยชีวิตจากการซื้อหุ้นตัวอื่น คือหุ้น KTC (turnaround จากการเปลี่ยนผู้บริหาร ตั้งสำรองขาดทุนความผิดพลาดเดิม และหลังบ้านสะอาดแล้วธุรกิจโตต่อ)
    .
    21โอกาสอยู่รอบตัว คลิปโตมีโอกาสมากกว่าตลาดหุ้น แต่ก็มีความเสี่ยง สำหรับคนที่ศึกษาจริงจัง เหรียญี้ทำอะไรได้บ้าง มีกลไกอย่างไร

22 ต้องรู้ว่าเงินที่ได้มาจากเปิดร้านขายของหรือคาสิโน มีคนชวนเข้าคาสิโน แล้วได้เงิน แล้วในไม่กี่นาทีได้ 3-4 เท่า ถ้าคนทั่วไปจะรู้ว่า 3-4 เท่าที่ได้ ไม่ได้มาจาก skill อะไรเลย แบบนี้เข้าข่ายกลัวตกรถ

บทเรียนที่ได้จากอุปสรรค
.
23.มีจิตใจที่หนักแน่น อย่างตอนถือ warrant ตอนน้ำท่วม ไปถือหุ้นแม่ก็ได้ พอเรากลัวทำให้เรากลัวมากเกินไป เราไม่ได้จัดพอร์ทในทางเลือกที่ดีที่สุด
.
24.จากหุ้นสื่อสาร อย่าทำประมาณการการเงิน แบบมี bias โลกความจริง
.
25.การใช้เครื่องมือทางการเงิน ก่อนใช้เข้าใจ่สิ่งพวกนี้แค่ไหน ให้คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดให้ได้ก่อน ดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
.
26 หลักการหา bog short รู้ธรรมชาติธุรกิจ ดูว่าผู้บริหารเก่งหรือเปล่า นักลงทุนต้องเป็นนักวิจัยด้วยตัวเองด้วย
มีข้อมูลมากพอจะพอจับจุดธุรกิจได้ ประเด็นสำคัญต้องระวังอะไร backtest พร้อมกับคู่แข่งไปหลายๆปี

X