เล่าความรู้สั้นๆ ฉบับที่1 “หากวันนี้ยังไม่แม้แต่หว่านเมล็ดพันธ์ุ อนาคตก็อย่าได้หวังถึงผลลัพธ์ความสำเร็จในชีวิต”

คนรวยทำงานเร็ว คนรวยทำงานเพื่ออนาคต

หากวันนี้คุณยังไม่รวย(เงิน) แต่รวยความคิดอนาคตคุณมีโอกาสรวย กว่าคนที่วันนี้รวย(เงิน) แต่จนทางความคิด

หนังสือเล่มนี้นิยามคนรวย = รวยความคิด ความคิดที่ดีจะดึงดูเงินเข้ามาเองในอนาคต
คนรวย มักทำงานเร็ว

เทคนิคทำงานให้เร็ว มีดังนี้

1.ว่าด้วยเรื่องความคิด

  • ทำงานที่สำคัญก่อน จัดลำดับงานที่จำเป็นเอามาทำก่อน
  • กล้าลองผิดลองถูก ไม่รอคำว่า perfect
  • โฟกัสที่เป้าหมาย หาวิธีอะไรก็ได้เพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น
    ถ้าเป้าหมายชัด เดี๋ยววิธีการจะตามมาเอง
  • ทำงานเสร็จแต่เนิ่นๆไม่ทำงานจวนตัว เพราะงานที่จวนตัว
    จะมีคุณภาพน้อยมาก
  • การทำงานเพื่ออนาคต ไม่มีใครบังคับคุณ คุณต้องเลือกและทำมันเอง และถ้าเราไม่เลือก นั้นคือ คุณเลือกที่จะล้มเหลว
  • งานที่สำคัญมันจะบีบให้คุณทำแบบจวนตัว เพราะเวลามันใกล้หมดทุกทีทุกที
  • คนทำงานเร็ว พอเจอปัญหานิ้วเขาจะชี้มาที่ตัวเอง คนทำงานช้าจะชี้นิ้วไปที่คนอื่น สิ่งแวดล้อม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ตัวเอง
  • ความล้มเหลวในอดีตนั้นนั้นเป็นเอกลักษณ์ของคนสำเร็จในอนาคต

    2.ว่าด้วยเรื่องสมาธิและบริหารเวลา
  • ค้นหาช่วงเวลาที่เรามีสมาธิ แล้วใช้เวลานั้นทำงานสำคัญ
    อย่าเอาช่วงเวลาที่เรามีสมาธิ ไปตอบchat ไถ่ฟีด
  • จังหวะไหนควรพัก จัดเวลาพักให้เหมาะสม
  • ใส่ใจกับเวลาของเราและผู้อื่นไม่เอาเรื่องไร้สาระมาเผาเวลา
    .
    3.มีมนุษยสัมพันธ์ดี เก่งเรื่องคน
  • คิดถึงเจตนาของอีกฝ่าย ก่อนขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
  • สันโดษอย่างมั่นใจ คบหาเพื่อนที่ส่งเสริมความสำเร็จ

4.วิถีชีวิต

  • การนอน นอนมากพอ 8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะทำให้เรามีประสิทธิภาพการทำงานมากกว่า
  • เลือกอาหารที่มีคุณภาพ ร่างการที่แข็งแรงเป็นต้นทุนสร้างชีวิตที่ดีในอนาคต
  • เลือกซื้อสิ่งของที่จำเป็น ไม่ตามกระแส จ่ายเพื่อประสิทธิภาพของงาน

Cr โกะโด โทคิโอะ

Labhoon

หากเพื่อนสนใจเข้าร่วมพูดคุยความรู้ เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น เรามีห้อง line ฟรีให่ได้แลกเปลี่ยนขัดเกลาความคิดและความรู้ เชิญเข้าร่วมฟรีได้เลยครับ

You’ve been invited to join “LABHOON (LOBBY)”. Visit the link below to join the OpenChat.
https://line.me/ti/g2/PaCWGV-_5tbO68OdfO7LF1lNeduVQxnGA-Vpcg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default

ESG Investing เทรนด์ใหม่การ ลงทฺนระดับโลกที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

ESG หมายถึง Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (บรรษัทภิบาล) ซึ่งเป็นแนวทางหรือมาตรฐานที่ใช่ในการประเมินและติดตามการดำเนินงานของธุรกิจและการลงทุนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารบริษัทในทางที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรวม

สิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญ: ปัจจุบันมีความสนใจมากขึ้นในเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น กำลังเกิดขึ้น เรื่องนี้มีผลกระทบต่อธุรกิจและการลงทุน

ความเคารพสิทธิมนุษยชน: ESG ยังรวมถึงเรื่องความเคารพสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการค้าระหว่างประเทศและในโลกธุรกิจที่มีการเชื่อมโยงอย่างแนบแน่น

จริยธรรมและความโปร่งใส: การทำธุรกิจตามหลัก ESG ยังเน้นความจริยธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ เป็นมาตรฐานระดับพื้นฐานที่ยึดถือมานาน

ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มกำหนดให้ ESG เป็นมาตรฐานและข้อบังคับในการดำเนินงาน
ธุรกิจทั่วโลกจึงต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กำลังส่งผลกระทบรุนแรงเข้าขั้นวิกฤติ

นักลงทุนที่รู้จักและเข้าใจ ESG ก่อน ย่อมมีความได้เปรียบในการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง

“ESG กลายเป็นกติกาใหม่ในการทำธุรกิจ… นักลงทุนที่รู้จักและเข้าใจ ESGก่อน ย่อมมีความได้เปรียบในการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง”

ทำไม ESG จึงมีความสำคัญ?

สำหรับหลายๆ คน การลงทุน ESG เป็นมากกว่าตัวย่อสามตัว เป็นกระบวนการที่ใช้งานได้จริงในการจัดการและวิธีที่บริษัทให้บริการ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเช่น 1.พนักงาน 2.ชุมชน 3.ลูกค้า 4.ผู้ถือหุ้น และ5.สิ่งแวดล้อม

“การระบุผลกระทบทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งห้านี้เป็นสิ่งที่ควรเป็นมาตรวัดสำหรับการลงทุน ESG ที่มีคุณภาพ

นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย บริษัทหลักรัพย์จัดการกองทุนต่าง ๆ ได้นำ ESG มาเป็นส่วนหนึ่งในต้องตอบคำถามผู้ถือหุ้นและนักลงทุน เช่น การวางกลยุทธ์และแนวทางการบริหารความเสี่ยง ESG เพื่อให้สามารถบริหารจัดการผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโตและแข่งข้นได้ในระยะยาว การลงทุนที่คำนึงถึง ESG จึง

เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่สนใจ ESG และเห็นว่า ESG สามารถช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และอาจสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระยะยาว

คะแนน ESG คำนวณอย่างไร

บริษัทวิจัย ESG จัดทำคะแนนให้กับบริษัทต่างๆ มากมาย คะแนนเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนและมีประโยชน์สำหรับการเปรียบเทียบการลงทุนต่างๆ

Bloomberg, S&P Dow Jones Indices, JUST Capital, MSCI และ Refinitivเป็นบริษัทวิจัย ESG บางส่วนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด โดยทั่วไปคะแนนจะเป็นไปตามระดับ 100 คะแนน: ยิ่งคะแนนสูงเท่าไร บริษัทก็จะยิ่งดำเนินการตามเกณฑ์ ESG ที่แตกต่างกันได้ดีขึ้นเท่านั้น คะแนนอาจแตกต่างกันไปตามบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจใช้หน่วยเมตริกและแผนการถ่วงน้ำหนักที่แตกต่างกัน

แม้ว่าปัจจัยเฉพาะที่ได้รับการประเมินจะแตกต่างกันไปตามบริษัท แต่บริษัทจัดอันดับ ESG มักจะตรวจสอบสิ่งต่างๆ เช่น รายงานประจำปี มาตรการความยั่งยืนขององค์กร และโครงสร้างคณะกรรมการ บริษัทจัดอันดับยังพิจารณาการจัดการทรัพยากร พนักงาน ค่าตอบแทน และการเงินด้วย

การเปลี่ยนแปลงของบริษัทระดับโลก(ยักษ์ขยับแล้ว)

บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft หรือ Facebook รวมถึงบริษัทชื่อดังอย่างเช่น Burger King, Pepsi หรือ Ikea ด่างพร้อมใจวางนโยบายเพื่อตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสุดท้าย Google (Alphabet) บริษัทผู้พัฒนาเสิร์ชเอนจินได้หันมาซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด 100% เพื่อช่วยผลิตพลังงานสะอาดให้กับบริษัท ครอบคลุมทั้งพลังงานลมและฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ สะท้อนให้เห้นถึงเงินลงทุนที่อาจเข้ามาได้ในอนาคต

แจกฟรี “หนังสือ ลงทุนด้วยกลยุทธ์ Momentum”

ตัวอย่าง “การใช้กลยุทธ์ MomentumแบบBreak Out มีสองวิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหาการตั้งค่าการซื้อขายโมเมนตัมคือการค้นหาการซื้อ breakout trades(ราคาเบรคแนวต้านที่เรากำหนด) หรือใช้ indicator.

มีสองวิธีง่ายๆ ในการระบุโอกาสในการซื้อขายโมเมนตัม: โดยการมองหา momentum breakout trades หรือใช้ indicator .momentum breakoutเกิดขึ้นเมื่อราคาได้เคลื่อนไหวอย่างแข็งแกร่งในทิศทางเดียวแล้วจากนั้นต่อมาจึงเกิดการรวมตัวก่อให้เกิดรูปแบบคล้ายธง หรือกล่อง เมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบนี้ เทรดเดอร์ที่ใช่ระบบโมเมนตัมจะซื้อขายในทิศทางของการทะลุและวิ่งตามโมเมนตัมไปดูกราฟตัวอย่างด้านล่างซึ่งราคาเริ่มสูงขึ้น หยุดชั่วคราวเพื่อรวมตัวในกล่อง จากนั้นแยกออกสูงขึ้น และยังคงโมเมนตัมต่อไป”อ่านฉบับเต็มได้ที่ เพียงแอด LINE แล้วพิมพ์คำว่า “momentum”add line https://lin.ee/1YbWhil

หุ้นเข้าโซนอันตราย กลุ่มไหนยังมีอนาคต?

ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก รวมหลาๆวิกฤติในช่วง 100 ปี ทั้งโรคระบาด และสงคราม มาฟังแนวคิดของ อ นิเวศ ว่าประเมินอย่างไร ใช้กลยุทธ์แบบไหน

ตลาดหุ้นในช่วง 2009 2019 ที่ผ่านมาวิ่งขึ้นมาสูงมากเนื่องจากภาวะที่เอื้ออำนวยจาก
ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจเติบโต สภาพคล่องสูง นักลงทุนรายย่อยเข้าสูง
ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2009 2019 ครบ 10 ปีมักจะมีวิกฤติ แต่ก็ไม่เกิดวิกฤติ แล้วต่อมา เกิดวิกฤติโรคระบาด

แต่หุ้นตกมาสั้นมาก แทบไม่เป็นวิกฤติ ทุกประเทศเร่งอัดฉีด
และเกิดฟองสบูในหุ้น Hitech ทุกคนเปลี่ยนความคิด ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
สิ้นปี 2021 ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปพีค และทำสถิติใหม่

แต่จากปัจจัย ทันทีทันใดเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน และ supply ขาดแคลนจากการปิดเมืองโดยเฉพาะประเทศจีน
ทำให้ภาพเปลี่ยนราคาสินค้าโภคภัณฑ์วิ่งทั่วโลก และกระทบราคาอาหาร และเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อสูง ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีทั่วโลกตกเละเทะ

Nasdaq ตก 14%
ดัชนีที่ขึ้นไม่มากอย่างไทยลงไม่มาก หุ้นบ้านเราเป็น value
เวียดนามตกไป14% ใกล้เคียง Nasdaq
หุ้นจีนตกไม่มาก เพราะขึ้นน้อย

เข้าไปดูใส้ในของตลาดหุ้นไทย ไทยมีตลาดตัวเล็กตัวกลางที่เก็งกำไรหนัก แต่พวกนี้มีผลต่อดัชนีน้อย

เราไม่รู้อาจจะลงต่อหรือเปล่า ลงมากพอหรือยัง ต่อไปต้องจับตาว่าจะเป็นวิกฤติหรือเปล่า

หุ้นถ้ามองย้อนหลังตั้งแต่ปี 2009 โตมาเรื่อย ๆ ตกนิดหน่อยตอนโควิท และขึ้นไปจุดสูงสุดใหม่ และลงมาแต่ยังสูงกว่าก่อนโควิท 20-30% โอกาสที่จะลงมาต่อยังมี ถ้าเป็นวิกฤติ

รอบนี้ถ้าวิกฤติจะเกิดอย่างไร

รอบนี้เงินยังมีแต่ค่อยๆงวดลงใช้เวลาหลายปี ทำให้ดูลำบาก และตลาดไม่ตกใจ
โอกาสในการทำกำไรคือวิกฤติที่หุ้นตกเยอะๆ แต่ตอนนี้นี้หุ้นยังไม่ตก คน long term ไม่รู้ซื้ออะไร

หุ้น value ก็ไม่ตก แต่เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น growth
หุ้น growth ก็ไม่ได้ตกแรง จน PE น่าสนใจ

ปัจจัยที่กระทบตลาดหุ้น ตัวที่ชัดที่สุดคือ เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย เม็ดเงิน
พอกลับทางน่ากลัวเพราะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น และลดปริมาณเงิน

ถ้าอเมริกาเอาไม่อยู่คือพัง
เวลานี้การใช้นโยบายการเงินของ เฟตเหมือน ศิลปะในจับปลาก็ต้องผ่อนเบ็ด ให้ค่อยๆลง แรกเกินไปก็ลงหนัก

แต่ตลาดหุ้นอาจจะขึ้นได้จากการฟื้นตัวหลังโควิท แต่หลังจากนั้นจะโตอย่างไร
ความมั่นใจมีไม่สูง ถ้าไม่โตต่อก็ลดพอร์ทลงไป

ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอิ่มตัว ทำให้หุ้นไทยไม่ค่อยไปไหนมา 7 ปีแล้ว

ปกติตลาดปั่นป่วนไม่ค่อยทำอะไร หาหุ้นที่จ่ายปันผลดี ธุรกิจไม่กระทบเงินเฟ้ออะไรมากมาย
กิจการใช้ประจำวัน ไม่มีคู่แข่งใหญ่

ระวังหุ้นที่โตช่วงโควิท
โรงพยาบาล ยาว โตดีช่วงโควิต แต่หลังจากนั้นเหมือนเดิม

ภาวะวิกฤติแบบนี้มีวิธีคิดอย่างไร

Value เน้นดูความแข็งแกร่ง และยังโตได้อีกนาน
เศรษฐกิจ 3 เงินเฟ้อ 3 รวมๆโต 6% ก็ดีแล้ว
PE 50-60% ไม่เอา

อ ไปซื้อหุ้นเวียดนาม เพราะรู้สึกเป็นโอกาส หุ้น super stock ของเวียดนามหลายตัว PE ไม่สูง
ตอนนี้มารเกตแคป 100,000 ล้าน ของไทย 500.000 ล้าน อนาคตน่าจะโตกว่าไทยเพราะคนเยอะกว่า
ซื้อทิ้งไว้เหมือนเดิม

เวียดนามได้ปันผลแง่%ดีกว่าไทย แต่เม็ดเงินน้อยกว่า

ตลาดหุ้นไทยไม่รู้จะเกิดวิกฤติหรือเปล่า แต่ยังถือว่าดีกว่าถือเงินสด
หุ้นกู้เริ่มดี ดอกเบี้ย4% เริ่มมา

หุ้น growth stock ยังอยู่ได้ เพราะหุ้นถือ conner เยอะมากเพราะเขายังไม่ปล่อย ไม่เขื่อนแตก

หุ้นไทยกลุ่มไหนดีสุด
มั่นใจสุดคือค้าปลีกเพราะสะท้อนเศรษฐกิจไทย พวกนี้มั่นใจว่าตามเศรษฐกิจ
ผู้ชนะจะกินตลาดได้เยอะมาก
ธนาคารทุกคนใช้แต่จะมี moment เรื่องหนี้เสีย
พลังงานมีความผันผวน
วัสดุก่อนสร้างเกี่ยวกับคน ถ้าคนใหม่เกิดน้อยลง รัฐไม่ลงทุน

โดยรวมแล้ว อ นิเวศน์ มองว่าตลาดความเสี่ยงสูง แต่ถ้ากิจการเสี่ยงไม่สูงก็อยู่ได้ และไปลงทุนต่อยอดหุ้นsuper stock ในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างเวียดนาม

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=PbZ7gebmVPE

สรุปแนวคิด วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ประชุมผู้ถือหุ้น 2022

สรุป บทสัมภาษณ์ของ วอเรน บัฟเฟต ชาลี มังเกอร์ ในการประชุมผู้ถือหุ้น และการวิเคราะห์โดยคุณ art จากเพจ club vi ที่ช่วยขยายความคำพูดของทั้งสองว่ามีนัยยะอะไรบ้าง ทำให้เข้าใจแนวคิดของเซียนหุ้นทั้งสองได้ลึกขึ้น เชิญอ่านโดยพลัน

1.กลับมาช้อนหุ้น

ปีนี้ ปู่ซื้อหุ้นจัดหนักมาก 4 เดือนซื้อไป 3.4 ล้านล้าน
ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแบบ old school น้ำมัน เชฟร่อน HP ไม่ใช่เทคล้ำๆแบบที่กำลังฮิตกัน
หลายคนบอกว่าปู่แกตกยุค แต่ปู่ไม่เคยเปลี่ยนกลยุทธ์ สุดท้ายปู่ก็สามารถทำผลตอบแทนไปได้เรื่อย ๆ
การตามกระแสเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบ พอกระแสมาก็จะตามกระแสแล้วลืมสิ่งที่เรารู้

2.มุมมองเรื่อง Bitcoin

ชาลี มังเกอร์ ปีนี้จัดหนัก มังเกอร์พูดว่า ชีวิตเหลีกเลี่ยง โง่ ชั่ว ทำให้ตัวเองดูแย่

  • โง่เพราะมีโอกาสเป็น 0
  • ชั่ว เพราะทำลายกระบบอัตราแลกเปลี่ยน
  • ทำให้ตัวเองดูแย่เพราะ ทำทั้งสองเรื่องนี้

ส่วนปู่ ก็มองเหมือนทองคำ ที่ปู่แกก็ไม่เคยซื้อเหมือนกัน เพราะไม่เป็น productive asset สินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล เหมือน บริษัทขุดน้ำมัน ไร่ นา ที่มีผลิตผลมาเรื่อยๆ จะได้กำไรก็ต้องซื้อไปแล้วมีคนมาขอซื้อในราคาที่สูงกว่า

3.ยุค Tribal การแห่ตามกระแส

วอเร็นไม่เคยเห็นยุคไหนที่ การแห่ตามกระแสชัดขนาดนี้ เข้ามาทำอะไรตตามๆ กันแล้วเจ้งไปตามๆกัน เช่น tech stock
โดนกรอกหู้ซ้ำๆ ไปทำตามแล้วก็เจ้ง จงเชื่อ่ในตัวเอง อย่าให้คนอื่นตัดสินเรา

4.หุ้นเทคจีน

ชาลี มองว่าตลาดจีนหาหุ้นที่ดีในราคาถูกได้ แต่มีความเสี่ยงทางการเมือง ส่วนปู่ไม่พูดอะไร

5.การจับจังหวะตลาด

ไม่แนะนำให้จับจังหวะตลาดเป็นสิ่งที่มีมีประโยชน์
ปู่ยังทำแบบที่ทำมาเสมอคือ กล้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัว
แต่ที่ทายถูกเสมอ เช่นปี 2008 ย่ำแย่ไปหมดปู่ก็เข้าไปซื้อแล้วได้กำไร
2020 คนอื่นกำลังโลภ วอเร็นกำลังกลัว

6.ปู่บอก เศรษฐกิจ อเมริกาดี ปู่ bias ไปหรือเปล่า

ปู่ไม่ได้ เชียร์ เฉพะ อเมริกา แต่ก็เคยเชียร์จีน ยุโรป ด้วย
ส่วนจะดีต่อไปไหม ปู่อย่าเดิมพันตรงข้ามอเมริกา การลงทุนในประเทศผู้ชนะดีเสมอ

ถ้ากลัว bias ให้มอง เร ดาริโอ ที่มองแต่ละประเทศจะสลับกันเติบโต และ cycle ของอเมริกาเริ่มทำจุดสูงสุด
คุณ art club vi มองว่า คนอเมริกายัง innovative เศรษฐกิจยังไปต่อได้ แต่ไม่แน่ cycle อีก 10-20 ปี บริษัทจากจีนอาจชนะก็ได้

7.สิ่งที่ดีที่สุดคือการลงทุนในตัวเอง

ลงทุนในสิ่งที่คุณชอบ มีสิ่งที่ทำให้คุณดีขึ้นเรื่อย แล้วผลลัพทจะดีเอง

แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักลงทุนที่ดี ถ้าลงทุนไม่เก่ง ก็ชื้อกองทุนดัชนีไป สุดท้ายคุณก็รวยได้เหมือนกัน
คุณ art เคยทำสถิติส่วนตัว ถ้าลงทุนในกรอบ 30 ปีที่ผ่านมาได้ 2000% ไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็ตาม

8.ปู่ สนใจซื้อบริษัทท่างชาติไหม

ปู่บอกว่าเปิดสำหรับทั่วโลก แต่ขนาดต้องใหญ่พอ
ปู่ชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคย นานๆทีจะซื้อในต่างประเทศ เพราะในประเทศอเมริกาก็ยังซื้อได้ เป็นขอบข่ายชำนาญทางภูมิศาสตร์

9.เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อเกิดจาก suppy disruption ระหว่าง covid หลายบริษัทก็ ลดคนงาน ลดกำลังการผลิต อุปทานไม่ทันอุปสงค์ ท่าเรือเต็ม ตู้ข่าด ไม่ได้เกิดจากเงินเข้าในระบบ

ปูบอกว่า เงินเฟ้อส่งผลเสียจริงๆ สมมติค่าเงินลดลง 90% ทุกธุรกิจเจ็บปวดหมด ยกเว้นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนต่ำ เพราะสามารถขึ้นราคาได้ แต่ก็หายาก

  1. เงินสด

Berkshire เก็บเงินสดไว้เยอะ เหมือน ออกซิเจน แต่ถ้าอากาศไปเราจะรู้สึกทันที
แม้เศรษฐกิจเปลี่ยนไปมากมาย แต่เราจะมีเงินสดไว้เสมอ

11.อยากบริหารบริษัทให้ได้แม่ว่าระบบการเงินล่มสลาย

ลงทุนในบริษัทอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
ชอบโค้กเพราะต่อให้ตลาดหุ้นปิดไป10ปี โค้กก็ยังบขายได้อยู่

จะเห็นว่าคำพูดของปู่ช่างคมคายยิ่งนัก และยิ่งมีคนที่ตามงาน ปู่มานานมาอธิบาย ก็ยิ่งทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้ง

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=VRP1igh6gyA

สรุปหนังสือใหม่ Ray Dalio วิธีรับมือระเบียบโลกในอนาคต ตอนที่ 1

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนระเบียบโลกมันเกิดจากอะไร เราจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดีได้อย่างไร คุณเชื่อไหมครับว่าแพทเทิร์นการขึ้นมาและทดถอยของแต่ละประเทศนั้นมันคล้ายกันหรือแทบจะเหมือนกันเลยมันมี Pattern เหมือนกัน ภาพภูเขาจะบอกว่าไม่ว่าจะประเทศอะไรก็ตามในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ มันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเชิงรายละเอียด ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามจะถอดรหัสว่า
.
1.มันรุ่งหรือมันร่วงได้อย่างไร
2.แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเราจะรับมือกับมันและเตรียมตัวได้อย่างไร
3.นักลงทุนควรทำอย่างไร เมื่อระเบียบของโลกมีการเปลี่ยนแปลง
.
หนังสือเล่มนี้จะมีการพูดถึงบิ๊กไซเคิล จะบอกว่าสัญญาณชีพที่จะบอกว่าแต่ละประเทศ เป็นมหาอำนาจและกำลังจะจบลง มันเกิดจากอะไรและแพทเทิร์นนี้เป็นอย่างไร คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบในอนาคตของโลกจะแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามจะมีแพทเทิร์นที่คล้ายกันอย่างแน่นอน คุณเรยดาลิโอได้เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมาอย่างยาวนานแล้วเขาเองก็ได้เจอประสบการณ์ที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังถึง 500 ปีย้อนหลัง

ในปี 1971 สหรัฐอเมริกามีเงินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ ตอนนี้สหรัฐนั้นได้ผูกเงินกับทองคำ เงินดอลลาร์จะมีค่าเพียงสามารถนำมาได้เป็นทองคำได้หรือมันแค่เช็คเท่านั้น เพราะตอนนั้นทองคำคือเงินที่แท้จริงนั้นเอง สหรัฐนั้นจะใช้เงินไปมากและมีทองคำไม่เพียงพอจากปริมาณเช็คเงินที่ได้ใช้เอาใช้นั้นเอง และหลังจากนั้นเองคนที่เงินดอลลาร์ก็รีบเอาเงินไปแลกทองคำเพราะกลัวว่าจะไม่มีทองคำให้ ในเย็นวันที่ 25 สิงหาคม ประธานาธิบดีริชาร์ดนิกสัน ได้ออกโทรทัศน์และพูดเป็นนัยๆว่าสหรัฐกำลังจะเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเรียกว่า Nixon shock แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกดอลลาร์ผูกกับทองคำ ตอนนั้นคุณคุณเรยดาลิโอ้คิดว่าตลาดหุ้นต้องดิ่งเหวแน่นอน ตลาดหุ้นก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มันน่าประหลาดใจมากเพราะเขาไม่เคยเจอกับการลดค่าเงิน เขาจึงไปค้นประวัติศาสตร์แล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแม้แต่ในอเมริกาเองก็ตามเกิดขึ้นในปี 1933 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ตอนนั้นทองคำก็ผูกกับดอลลาร์แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกการผูกขาดเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายได้อย่างมากขึ้นเพียงแค่พิมพ์เงินออกมา และเนื่องจากความมั่งคั่งของประเทศนั้นก็ไม่ได้มากขึ้นตามจำนวนธนบัตรที่มากขึ้น ทำให้คุณค่าของเงินดอลล่าแต่ละดอลล่ามีลดลงเรื่อยๆ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นไปดันในหุ้นและทองคำขึ้นเป็นจำนวนมาก คุณเรยดาลิโอ้ ได้ค้นพบถอยย้อนไปมากๆก็ได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต จากประเทศที่เป็นผู้นำ ณ ช่วงเวลาต่างๆเนื่องจากมีการใช้จ่ายมากกว่าภาษีที่เก็บได้นั่นเอง ซึ่งทำให้ราคาสินค้าชนิดต่างๆได้สูงขึ้นนั้นเอง
คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางนั้นพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากให้คุณซื้อหุ้นทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเอง คุณต้องเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต คุณเรยดาลิโอ้จึงศึกษาฟองสบู่จากในอดีตมาเรื่อยๆทำให้คุณเวลาเท่านั้นทำกำไรได้อย่างมากมายและรอดพ้นจากวิกฤตในช่วง 2008
.
3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก คือ
.

  1. หลายประเทศไม่มีเงินเพียงพอจะชำระหนี้จึงต้องพิมพ์เงินออกมาแม้จะลดดอกเบี้ยเหลือ 0 แล้วก็ตาม
    .
  2. มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเนื่องจากช่องว่างของความมั่งคั่งและความเชื่อทางการเมือง
    .
  3. มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นจากภายนอกระหว่างชาติมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นและชาติมหาอำนาจที่กำลังจะถดถอยลง ปัจจุบันก็คือจีนกับสหรัฐนั่นเอง
    เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบของโลกซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงปี 1930 1945 ในช่วงที่ใกล้ที่สุด
    ระเบียบโลกคืออะไร ระเบียบโลกคือระบบการปกครองที่ทำให้ผู้คนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ละประเทศก็จะมีแบบภายในเป็นของตัวเอง แล้วมีระเบียบจากข้างนอกด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นระเบียบจะภายในหรือภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสงคราม เช่นรัสเซียเกิดการปฏิวัติการปกครอง จีนเองสมัยเหมาเจอตุงก็เช่นกันคือพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาล้มระบบเก่า ก็คือที่เรียกว่าอำนาจใหม่นั้นชนะอำนาจเก่า
    แต่ยุคที่พวกเราอยู่นั้นเกิดมาก็คือยุค ระเบียบโลกของปัจจุบันก็คือสหรัฐอเมริกา ระบบการเงินของโลกปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ที่เรียกว่า Bretton Wood คือระบบที่ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
    ราคาดอลลาร์นั้นเป็นเงินสกุลหลักของโลกในการเป็นทุนสำรองนั่นคือเงื่อนไงที่ทำให้ประเทศนั้นเป็นมหาอำนาจของโลก ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เรียกว่า Big Cycle
    คุณเรยดาลิโอ้ได้ศึกษา 10 จักรวรรดิที่รุ่งเรืองตลอดมาในโลก เช่น ดัช เหรียญ กิลเดอร์
    อังกฤษ เหรียญ Pond มีความยิ่งใหญ่ถดถอยและมีการขึ้นมาแทนเสมอๆเป็นต้น
    วงจรหนึ่งนั้นกินเวลาประมาณ 250 ปี และมีช่วงซ้อนทับประมาณ 10-20 ปี และโชคดีคือเราอยู่ในช่วงนี้ครับ
    มี 8 มาตรวัดในการดูว่า ชาติใดเป็นมหาอำนาจ
    1.เรื่องการศึกษา
  4. นวัตกรรมและเทคโนโลยี
  5. ความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
  6. ผลผลิตทางเศรษฐกิจ
  7. ส่วนแบ่งทางการค้าของโลก
  8. ความเข้มแข็งทางการทหาร
  9. ความแข็งแกร่งทางการเป็นศูนย์กลางทางการเงินสำคัญของโลก
    8.ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ในฐานะสำรอง

มาตรวัดเหล่านี้เมื่อทำมาแล้วให้ทำด้วยวิธีการหาค่าเฉลี่ยถ้าประเทศไหนมากสุดประเทศนั้นก็คือมหาอำนาจ สามารถมองเห็นได้ว่าประเทศไหนมีโอกาสทั้งอัดขึ้นและประเทศไหนกำลังจะถดถอยลง การศึกษาที่ดีพัฒนาไปสู่การสร้างเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมาตรฐานดีก็ก็จะนำไปสู่ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง แล้วมีผลลัพธ์ตามมาตรวัดทั้ง 8 อย่างนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ รายการถดถอยนั้นก็ลง 8 อย่างคล้ายๆกัน

ช่วงไหนที่มีช่วงรุ่งเรืองมากๆ ในช่วงที่มีความสงบคนก็อยู่สุขสบายแล้วมีการเดิมพันมากเรื่อยๆ กูยืมเงินต่อไปเรื่อยๆเพื่อนำมาพนันกับความรุ่งเรืองต่อไปอีก ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าการนำไปสู่ของสบู่ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งนั้นหรือสกุลเงินหลักนั้นก็ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน เขาจะเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง ระหว่างคนรวยและคนจนที่ห่างกันออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้น พอฟองสบู่แตกก็จะนำไปสู่การพิมพ์เงิน และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจักรวรรดิก็จะเกิดความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อเป็นปัญหาภายในมากขึ้นอำนาจของจักรวรรดินั้นก็เริ่มลดลง แล้วก็ถ้าเกิดปัจจัยภายนอกเข้ามาท้าทายอำนาจเก่าก็คืออำนาจใหม่ เป็นปัจจัยภายนอกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเกิดในรูปแบบของสงคราม หลังจากนั้นผู้ชนะก็จะมาเป็นผู้สร้างระเบียบโลกใหม่ ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นย้อนไปได้ถึงจักรวรรดิโรมันเลยทีเดียว ซึ่งเกิดเป็นมหากาพย์ 500 ปี ประเทศก็เหมือนคนมีการเกิดแก่เจ็บตาย
วิธีการดูที่ดีที่สุดคือ Health Indicator เค้าได้ค้นพบว่าประเทศก็มีสุขภาพเหมือนกันซึ่งเขาแบ่งแยกมาเป็น 8 ชนิด
ช่วงเวลา Big Cycle แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 1 รุ่งเรือง 2 รุ่งโรจน์ 3 เสื่อมถอย
ช่วงรุ่งเรือง ผู้นำจะต้องทำ 4 ข้อ
1.มีอำนาจรวบรวมเสียง จากการสนับสนุนเป็นส่วนมาก
2.ลดอิทธิพลฝ่ายตรงข้าม ดูวิธีการต่างๆ
3.จัดตั้งระบบ และสถาบัน ที่ทำให้ประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เช่นรัฐธรรมนูญ
4.ระบบการสืบทอดอำนาจ ให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้บริหารต่อไป

และสิ่งที่สำคัญก็คือประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง แล้วนอกจากความรู้แล้วจะต้องบ่มเพาะอีก 3 บุคลิก
1.บุคลิกของความเข้มแข็ง

  1. ความมีอารยะ
  2. ความปรารถนาในการทำงานหนัก
    สิ่งเหล่านี้จะเกิดจากผู้นำครอบครัวและศาสนา รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องไม่มีการคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้พวกเค้ามีเป้าหมายปรองดองสามัคคีกันและช่วยผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาผลิตจากสินค้าพื้นฐานและไปผลิตสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีแทน ซึ่งก็คือนวัตกรรมนั้นเอง

ข้อคิดการทำการบ้านหุ้น จาก อ .ตี๋ อ .FOLK อ.Mini

รวบรวมความรู้มาให้นะครับ ผมไม่อยากให้ความดีๆหายไป จากที่ K noii เรื่องการทำการบ้านหุ้นไว้เทรดระหว่างวัน ลอง Swing trade ช่วงนี้ก็โดนค่ะ หัวหมุนไปหมด เหมือนหาตัวเองไม่เจอ ต้นปีเหมือนจะพอได้แล้ว มาเจอตลาดช่วงนี้มึนๆ () อ ตี๋ แนะนำ : 1. Day Trade ถ้าเรายังไม่แม่น มันจะเสียมากกว่าได้นะครับ.. พยายามลองงบน้อยๆให้เรามั่นใจและเริ่มจับจังหวะในการหาหุ้น ในการเข้าซื้อ และในการขายนะครับ..​ถ้ามั่นใจแล้วค่อยเพิ่มงบครับ
แต่สุดท้ายผมก็ไม่ค่อยเชียร์ให้เล่น Day นะครับ.. ลองหาหุ้นที่ถือสั้นแล้วได้กำไรสัก 20% จะฟินกว่านะครับ . 2.ช่วงนี้ตลาดยังเล่นได้ดีนะครับ.. ลองปรับดูใหม่นะครับ จังหวะในการเทรดพยายามให้นิ่งขึ้นนะครับ . 3.ส่วนการหาหุ้น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อนครับว่าเราถนัดแบบไหนนะครับ

  • Day : เราต้องดู momentum เป็น / และเฝ้าจอได้ครับ
  • Swing : เราต้องคัดหุ้นเก็บใส่ในลิสท์ และสร้างแผนให้ชัดนะครับ ถ้าหุ้น A มาแบบนี้ จังหวะเข้าซื้อจะเป็นอย่างไร พยายามเน้นหุ้นที่มีสัญญาณกลับตัวนะครับ เราจะได้ไม่ต้องรอนานนะครับ 2-3 วัน หรือ 1 วีคก็ทำกำไรได้นะครับ สุดท้ายและท้ายที่สุด สำคัญสุดคือการทำการบ้านครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมจะเทรดผมจะทำการบ้านแล้วเก็บไว้ในลิสท์น่ะครับ ลองสังเกตครับ ระหว่างวันที่ผมเทรดที่เพื่อนๆเห็นว่าผมไวหรือหาหุ้นเร็วนั้น จริงๆก็ล้วนแต่การทำการบ้านของผมเป็นส่วนใหญ่น่ะครับ และที่ให้เป้าได้เร็วก็เพราะว่าผมทำการบ้านไว้แล้วเช่นกันนะครับ..
    ส่วนหุ้นที่เราอาจจะได้จากเพื่อนๆ หรือ บอทก็เช่นหันนะครับ เราก็ต้องเอามาหยอดในกราฟดูเพื่อรีเช็คจังหวะอีกทีนะครับ เพื่อความชัวร์ของเรานะครับ . 4. ต้องดูกราฟทุกครั้ง เพื่อหาจุดเข้าซื้อที่เราได้เปรียบน่ะครับ นิสัยหุ้นจะมีหลายแบบครับ
    4.1. หุ้นเล่นรอบ : พอหมดรอบราคาก็กลับมายืนที่เดิมให้เราได้เล่นใหม่น่ะครับ

4.2. หุ้น Growth (หุ้นเติบโต) : อันนี้ถ้าเราหาจุดเขาที่ได้เปรียบด้วยแล้วนั่น เราจะรันแบบไม่ต้องกังวลเลยนะครับ ถึงแม้ระหว่างทางเขาจะย่อบ้าง พักบ้างยังไงก็เติบโตะครับ เหมือนกับ FVC วันนี้นะครับ ที่เพื่อนได้มา 1 เด้ง เพราะเรามองเป็นหุ้นเติบโตครับ

4.3. หุ้นคำโต : หุ้นที่เรานิยามขึ้นมา สำหรับ Swing เพื่อให้เราเล่นรันแบบมีเป้าที่ชัดเจน และสร้างกำไรได้มนระยะสั้นน่ะครับ

** สรุปคือ ถ้าเราถนัดเทคนิคอล เราต้องดูกราฟครับ เราถนัดเทคนิคอลน่ะครับก็เลยเชื่อมั่นในกราฟน่ะครับ เพราะกราฟไม่เคยหลอกเราน่ะครับ 😊😊 .

อ FOLK แนะนำ นิสัยหุ้นครับ ผมชอบจดไว้ เล่นตัวที่เรารู้นิสัย จะทำให้แม่นยำมากขึ้น

อ พี่ Mini แนะนำ ไม่ค่อยได้ดู ticker เท่าไหร่ค่ะ ดูนิดหน่อยค่ะ แต่ส่วนมาก หุ้นที่เรียกไปจะเป็นหุ้นที่ทำการบ้านมาค่ะ พอเราทำการบ้านมา เราเอาใส่ ลิสไว้ เวลาหุ้นตัวที่อยุ่ในการบ้านของเรามา บางทีการบ้านที่เราทำไว้ อาจจะไม่มาในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่ามันต้องมา เราก็ถือรอเค้าได้ค่ะ ถ้าทรงกราฟยังดี ยังสวยอยุ่ ก็รันได้คร่า

เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว โดย เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์

[ เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ] ได้เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว กว่าจะมาเป็นนักลงทุนที่ประสอบความสำเร็จให้เราฟังครับ

เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านช่วงนั้นโดนรับน้องตลาดลงแรงเพราะ ซับไพร์ม ครั้งสุดท้ายดูพอร์ตมันมันลงไปมากกว่าครึ่งล้าน 2 ล้านกว่าๆประมาณนี้นะครับ ภรรยาก็รู้ทุกคนมันก็เริ่มออกข่าวใหญ่ ทุกคนพูดกันจะเลิกไหมทำไมถึงไม่เลิกมันก็พิสูจน์แล้วนี่ว่าเราทำไม่ได้เห็นไหมล่ะก็ให้ลองแล้วไม่ใช่ว่าไม่ให้ลอง

” แฟนถามแล้วลูกจะเรียนต่อยังไงเคยคิดถึงอนาคตลูกไหม” ถ้าเราเล่นอย่างนี้แล้วมันลงไปเรื่อยๆจนเหลือศูนย์อ่ะจะทำยังไง

ความเชื่อมั่นในตอนแรกที่เล่น มันขึ้นไปเกินกว่าความรู้เยอะมามันงงแล้วมันสับสนแล้วก็คิดว่าจะล้างพอร์ตแล้วเลิกเลยจะเหลือเงิน 6 ล้าน 7 ล้านก็ช่างมันเถอะก็ถือว่าพลาด

โชดดีตอนั้นมีถ่ายทอด Opp day สามารถอัพเดข้อมูลบริษัทได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ผมก็ไปเลยครับ

## เจอพี่หลายท่านเก่งๆน พี่ธีรนาถโชควัฒนา เจอพี่เกียรติ กาละมัง แล้วก็คุยกันคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ผมก็ถามพี่ว่าอย่างนี้น่ากลัวไหม? พี่ พีตอบว่า อย่างนี้เรียกว่าวิกฤตเศรษฐกิจอันนี้คือโอกาสด้วยนะโอกาส พี่เขากลัวตัวสั่นเลยนะผมอยากซื้อจนตัวสั่นเลย แต่ผมหมดแล้วเงินหมดซื้อหมดแล้วผมมี margin ครบแล้ว

พอเราได้ฟังเล่าเกิดความรู้ขึ้น พาแฟนไปนั่งฟังบ้าง แฟนตัดสินใจลองดูให้เงินมาอีก 5 ล้านซื้อเพิ่ม

จากนั้นเราก็ถามจากคนเก่งมาตลอด เช่น คุณ Yoyo ก็เป็นท่านนึงที่สอนผม ผมเคยอ่านเคยอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่าคนที่เก่งเกรดa มักจะคบกันคุยกัน หรือคบคนเกด a+ แต่คนเกรดบี มันจะคบกับคนเกรดซี และคนเกรดดี มันคบลดระดับลงไปเรื่อยๆเพราะอะไรเพราะสองคนกลุ่มนี้มันมีความคิดไม่เหมือนกันคนเกรด a เนี่ยเขาคิดว่าเขาจะเจริญเติบโตก้าวหน้าทางความคิดเนี่ยเขาจะเลือกคบคนที่เก่งกว่าเขา

หลังจากปีนังไปในปีถัดมาผมบวก 300% !! คือเกินกว่าที่เสียไปทั้งหมดแล้ว แฟนบอกว่าเลิกเถอะ หรือเอาเงินต้นออกก็ยังดี ความคิดของเราคือเอาไงดี ไปต่อหรือ พอแค่นี้ สรุปคือไปต่อเพราะ คิดว่ารอบนี้ลูกเราจะเปลี่ยนชีวิตลูกเราจะได้เรียนเมืองนอกมันจะได้ไม่โง่เหมือนเราพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง

จากนั้นเจอวิกฤตอีกครั้ง กรุงเทพฯและปริมณฑลประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนและน้ำท่วมครั้งนี้ก็ถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯปี 2485 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและมีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.44 ล้านล้านบาทมีประชาชนได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ถึง 12.8 ล้านคนส่งผลให้ GDP ประเทศไทยในปี 2554 เติบโตขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ตอนนี้รับมือได้นะครับเพราะว่าเรารู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้เดี๋ยวก็กลับมา หุ้นที่ถือไว้ดันถือหุ้นอสังหาลงเยอะมากมีตัวนึงแล้วกะว่าจะเป็นตัวกับพระเอกคือวันเลยตัวนี้ต้องพลิกชีวิต ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนๆเยอะเพราะเราเที่ยวไปเชียร์ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนนั้นขายไม่ได้เพราะซื้อไปเยอะ bid offer ไม่พอถ้่ขายมีหวังลงไปเยอะแน่ๆ ตอนนั้นทุน 30 สตางค์ ราคาลดลงกว่า 30% ก็ได้แต่คิดว่า ถือไปเดี๋ยวก็กลับมา เพราะ เรามั่นใจในธุรกิจ backlog บริษัท ก็ยังดี เราถือ warrant อายุ 5 ปีก็น่าจะไหวอยู่ ตอนนั้นข่าวร้ายก็มาเยอะนะ เขาถึงขนาดบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวน้ำก็ท่วมอีก บริษัทที่มีที่ดินเยอะ มีโครงการเยอะ แย่แน่นอน สุดท้านพอไปเช็คกับบริษัท ปรากฎว่าแก้ปัญหาด้วยการถมที่ให้สูงขึ้น และพฤติกรรมลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู้เพราะ ญาติพี่น้องอยู่แถวนั้น แค่ปี 1 ปีมันกลับมาทำไร 1 เท่า มันขึ้นมา 60 สตางค์

หลังจากน้ำท่วมผ่านไป Port ผมโตน้องนะ ปีละ 7% บ้าง ลบ 3% บ้าง + 5% อะไรประมาณนี้เพราะผมยังเล่น playbook แบบเดิม(หาหุ้น PE ต่ำ ) แต่ตลาดเล่นหุ้น Growth เราก็งงเลยทีนี้ เราก็ลองไปศึกษาจริงๆ ดู พบว่าจริงๆ แล้วเล่นได้นะ เพราะ ถ้าหุ้นตัวนั้น PE สูงแต่สร้างการเติบโตได้มากกว่าและต่อเนื่องหลายปี PE จะลดลงนั้นเอง เช่น PE 100 ถ้าโตปีละ 50% ติดกัน 5 ปี PE จะเหลือ 10กว่าเท่าครับ คนก็เลยให้มูลค่านั้นเอง และถ้าธุรกิจนั้น มี 2 ปัจจัยนี้จะดีมาก ปัจจัยนั้นคือ 1.สามารถเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ 2.ขยายสเกลธุรกิจได้ นักลงทุนจะให้คุณค่ามาก

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ สุดท้ายพี่มี่ ยังเน้นเรื่องการลงทุนให้มีความสุขด้วยนะ มีเงินมากเท่าไรแต่ถ้าเราเครียด จนป่วยก็นั้นเท่ากับว่าเราผิดทางแล้ว ไม่คุ้ม

ขอคุณคลิปดีๆ จาก ลงทุนแมน นะครับ

X