ลงทุนอย่างเซียนกับคุณ YOYO สันติ สิงหวังชา

คุณ YOYO หรือ สันติ สิงหวังชา เป้นนักลงทุนมากฝีมือ และเขียน blog ชื่อ yoyo way ที่แทบจะบันทึกมุมมองการลงทุนของหุ้นที่ลงทุนอย่างคมกริบ แม้วันนี้เขาจะไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังฝากแนวคิดไว้ให้เราศึกษากันอยู่ โดย yoyo ได้ฝากไว้ 3 เรื่อง

1 วิกฤติ subprime 2008 เกือบพังเพราะถือหุ้นไม่กี่ตัว

ก่อนวิกฤติ จบวิศวะโยธา ทำงานแล้วไม่มีความสุข ลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา
จากพอร์ท 1 ล้านขึ้นไป 88 ล้าน จากถือหุ้นน้อยตัว และใช้ margin เต็มแม็ก
ส่วนใหญ่เป็นหุ้น PE ต่ำ และมีการเติบโตในอีก 2-3 ปีที่ชัดเจน

ตอนนั้นหุ้น 3 ทหารเสือประกอบด้วย Uec ums snc ใครเล่น thaivi.org ยุคนั้นต้องเคยอ่านในห้องร้อยคนร้อยหุ้น
พอเกิดวิกฤติชะล่าใจ ยิ่งลงก็ยิ่งเพิ่มมาร์จิ้น เพิ่มจนไม่ควรเพิ่ม
จนเหลือลงไม่กี่ % จะโดน force sell
โชคดีที่อีกนิดเดียวจะโดน แล้วมีคนเข้ามาฟื้น เลยค่อยปล่อยไปบางส่วน
แต่ธุรกิจยังเป็นตามที่เราคิดทุกอย่าง

หลังจากเจ็บก็เริ่มเปลี่ยนมาซื้อหุ้นปันผลสูง เพราะจะกลับไปทำงาน ถ้าไม่ขึ้น 2-3 ปีก็คืนทุน
ไปซื้อหุ้น LPN ปันผล 20% PE ต่ำมาก สนามบินสมุย และหุ้นอืนๆ รวม 5 ตัว

หลังจากนั้นตลาดตีคืน พอร์ทขึ้นไป 30 ล้าน กลับมาเดินหน้าลงทนต่อ
ปีถัดมา yoyo ได้ผลตอบแทน 397% จากหุ้นอสังหา

2เจ็บหนักจากหุ้นจีนที่ลิสในตลาดหุ้นอเมริกา

หลังจาก subprime หุ้นไทยวิ่งจนเริ่มแพง จึงไปต่างประเทศ
ช่วงแรกไป 20% ของพอร์ท ไปเจอหุ้นจีนที่ list ในอเมริกา china biotic มีเรื่องการเติบโตไวมาก
สตอรี่การลงทุนชัดมาร์เก็ตแชร์ 3% และขายถูกกว่าต่างชาติ 40%
โตปีละ 40% กำลังขยายโรงงานไปร้านค้าปลีก ปีครึ่งคืนทุน
ผู้สอบบัญชีเป็น big4

แต่หุ้นเริ่มลง มีข่าวลือว่าเป็นบริษัทปลอม
นักวิเคระห์ก็ไปดูทั้งเมืองจีนมาแล้วไม่มีร้านสาขาดังว่า

แต่บริษัทออกมาบอกว่ามีจริงๆ ส่งที่อยู่มาให้ดี แต่นักวิเคราะห์ไปดูก็ไม่มีอะไร

พอไป company visit ไปสัมภาษณ์คนบอกว่าถูกจ้างมาเริ่มตะหงิดๆ
แต่ก็ซื้อเพิ่มไป 50% ของพอร์ท เพราะยังมั่นใจ story

ไปดูงบกระแสเงินสดแปลก 2 เรื่อง
คือไม่มีหนี้แต่เพิ่มทุน และไม่ยอมจ่ายปันผล

จากนั้น cfo ลาออก และมีข่าวไม่จ่ายหนี้ บริษัทราคาหุ้นร่วงระเนระนาด กลับมาด้วยความผิดหวัง

หุ้นไทยมีการปรับฐานแล้วได้จากหุ้น jas พลิกพอร์ทกลับมาได้

ทำให้สไตร์การลงทุนเปลี่ยนไป

หุ้นไทยช่วงหลังๆ yoyo ยังเป็นแนวเดิมคือหุ้น PE ต่ำ ต่างประเทศก็ไป facebook tencent ที่ผู้บริหารดูดีหน่อย
ปรับตัวมาหาหุ้นคุณภาพมากขึ้น

3.บทสรุปคือหาจุดขาย ไม่ใช่ฝีมืออย่างเดียว

มองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มลงทุน ความมั่งคั่งของหุ้นที่ตีแตก
หุ้นแต่ละตัวไม่ได้โตตามที่คาดไว้เลย
แต่โชคดีที่ซื้อแล้วขึ้น แล้วก็ขาย และตลาดดี

เมื่อมองหุ้น อ นิเวศน์ เลือก เป็นการเติบโตที่ไม่กลับมาที่เดิม
อย่างค้าปลีกพอขยายสาขา ลูกค้าแถวนั้นก็ซื้อซ้ำ ยิ่งขยายกำไรก็ยกฐานไปเรื่อยๆ

คุณ Yoyo เริ่มเอาแนวคิดนี้ไปลงทุนต่างประเทศ เริ่มเห็นซื้อ PE20 เท่า เปลี่ยนจากจากที่ซื้อ PE ต่ำและเติบโตสูง
มาเป็นหุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสม และเติบโตเรื่อยๆมมากขึ้น

จากบทสัมภาษณ์จะเห็นพัฒนาการของการลงทุน จากสายโหด เล่นทีละไม่กี่ตัว ที่ PE ต่ำและปันผลสูง มาหุ้นต่างประเทศ และหุ้นเติบโตเรื่อยๆ เพื่อให้ความรู้แน่นๆกว่านี้แนะนำให้ไปที่ blog yoyo way ต่อเลยครับ รวบรวมบทความระดับตำนานมากห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=5myGf3hl8xY

วิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็นเงิน 1 ล้านล้านบาทโดยบัฟเฟตต์

ณ ปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 19,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราวๆ 3.4 ล้านล้านบาทเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 6 ของโลก

ปู่ได้รับคำถามในงานประชุมใหญ่ประจำปี 2021 ของผู้ถือหุ้นในปีล่าสุดว่า

🤔 คุณปู่ครับช่วยตอบผมหน่อยว่าทำยังไงผมถึงจะหาเงินได้ซัก 30,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาทได้บ้างครับ เมื่อชายหนุ่มถามคำถามนี้ทำให้ผู้คนในห้องประชุมถึงกับฮือฮากับคำถามนี้ไปตามๆกันในใจคงคิดประมาณว่าแม่พ่อหนุ่มเอางั้นเลย

🤓โดยปู่ก็ตอบสวนอย่างทันควันว่าอันดับแรกสุดคุณจะต้องมีอายุที่น้อยซะก่อนซึ่งถ้าถามปู่ในวันนี้ในวัย 90 ปีถ้าจะให้เริ่มต้นจากศูนย์ตอนนี้ก็คงยากที่จะตอบได้เหมือนกัน

ปูเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำก่อนว่าการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มันก็เริ่มต้นมาจากการสร้างสิ่งเล็กๆก่อนเช่นเดียวกับ⛄กฎของสโนว์บอลที่เป็นหิมะก้อนใหญ่ก็เริ่มต้นจากหิมะก้อนเล็กๆที่กำลังกลิ้งลงมาจากเทือกเขาซึ่งเทือกเขานั้นก็จะต้องมีระยะทางที่ทอดยาวมากพอที่จะให้ก้อนหิมะค่อยๆเพาะปูนจากก้อนเล็กๆกลายเป็นก้อนใหญ่มหึมาได้ในที่สุด

ซึ่งเปรียบได้กับการเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นั่นเองและที่สำคัญไปกว่าอายุน้อยไม่แพ้กันนั่นก็คือคุณจำเป็นที่จะต้องมีอายุยืนยาวด้วยโดยปู่บอกว่าสิ่งที่เทียบเคียงกับหลักของสโนว์บอลได้นั้นก็คือหลักการของดอกเบี้ยทบต้นสิ่งนั้นคุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนก้อนน้อยๆแต่พอวันเวลาผ่านไปนานขึ้นด้วยพลังของดอกทบต้นก็สามารถเปลี่ยนจากเงินไม่กี่บาทให้กลายเป็นหลักล้านได้เช่นกัน

✅การเก็บเงิน ปู่ยกตังอย่างว่าตอนเรียนจบจากระดับปริญญาตรีให้เขาเก็บเงินได้สัก 10,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 3 แสนบาท

✅เอาเงินไปซื้อบริษัทพื้นฐานดีที่ขนาดไม่ใหญ่มากสิ่งแรกที่เขาจะทำทันทีเลยก็คือพอเรียนจบเขาจะนำเงินเก็บก้อนนี้ไปซื้อบริษัทโดยเริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆเนื่องจากจำนวนเงินที่นำไปลงทุนนั้นก็ไม่ได้มีมากมายอะไรประกอบกับโอกาสในการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตเป็นบริษัทได้นั้นมันยังมีช่องทางอีกมากโดยไม่สามารถทำให้เงินทุนเพียงเล็กน้อยเติบโตได้อีกหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าแถมบริษัทขนาดเล็กมักจะถูกผู้คนส่วนใหญ่มองข้ามศักยภาพของมันไปโดยปู่ได้เน้นย้ำว่าการซื้อบริษัทคือหนทางเดียวที่จะทำให้เงินร่องเงยได้อย่างมหาศาล

📌และปู่ก็คอนเฟิร์มว่าวิธีการนี้มันจะเวิร์คไปอีกเป็นร้อยปีนับจากนี้โดยหลักการนี้มันยังคงใช้ได้อยู่เพราะเอาจริงๆแล้วแค่รุ่นปู่รุ่นเดียวก็เกือบ 100 ปีเข้าไปแล้ว

✅ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

โดยปู่บอกว่าไม่มีหรอกที่จู่ๆจะมีคนมาบอกว่าให้ลงทุนธุรกิจนั้นสิลงทุนธุรกิจนี้สิอีก 10 ปีมันจะเป็นบริษัทมหาชนแน่ๆลงทุนวันนี้เป็นเศรษฐีในวันหน้าซึ่งถ้าใครมาชักชวนหรือเครมอะไรประมาณนี้ก็ให้ระวังเอาไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจจะกำลังคุยอยู่กับมิจฉาชีพก็เป็นได้ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อค้นหาธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพไปลงทุนในบริษัทนึงในยุคแรกๆจนตอนนี้มันไปไกลโดยข้อดีของธุรกิจประเภทนี้ก็คือหลังจากที่ขายประกันให้กับลูกค้าได้แล้วเงินมันจะมากองอยู่ที่บริษัทโดยยังไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมจนกว่าลูกค้าจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งนั่นมันทำให้บริษัทหรือเงินสดอย่างมหาศาลทำให้ในระหว่างนี้ทางบริษัทก็สามารถนำเงินสดไปลงทุนในด้านต่างๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้นั่นเองและด้วยเหตุนี้จึงเป็นบริษัทแหล่งเงินทุนที่สำคัญในบริษัทอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายซึ่งเมื่อปู่นึกย้อนกลับไปในช่วงแรกๆที่ค้นพบโอกาสในการลงทุนในบริษัทนั้นหลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูลปู่ค่อนข้างมั่นใจว่าดีจริงณเวลานั้นไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ปู่พยายามจะสื่อเลย ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในตนเองเพราะถ้าหากเราไปเชื่อคนอื่นก็คงมีแต่คนบอกว่าอย่าไปลงทุนมันเลยมันไม่เวิร์คหรอกบริษัทไม่น่าเติบโตได้ไม่เห็นจะมีอนาคตตรงไหนเลยเพราะอย่าลืมว่าหากย้อนเวลาไปหลายสิบปีก่อนหน้านี้จำนวนรถยนต์บนท้องถนนยังไม่มากมายสักเท่าไรนะลูกค้าที่มีตังค์พอจะซื้อรถยนต์ได้ส่วนใหญ่ก็คนมีตังค์เท่านั้นแหละแต่หารู้ไม่ว่าพอมาถึงยุคปัจจุบันตลาดรถยนต์เติบโตอย่างมหาศาลส่งผลให้ธุรกิจประกันก็เติบโตอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน

✅ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและเราจะต้องรู้ว่าเรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้างแล้วให้เราลงทุนในขอบเขตที่เรารู้จักมันเป็นอย่างดีเท่านั้นและนี่ก็คือวิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็น 1 ล้านล้านบาทโดยปู่วรเวนบัฟเฟต์พ่อมดการลงทุนแห่งโอมา

=======================

🔥🔥🔥คอร์สเจาะหุ้นเด่นไตรมาส 3/2022🔥🔥🔥เรียน 2 วันเต็ม จุใจ ทั้งกราฟและพื้นฐาน ผ่านZOOM ถามได้ไม่อั้นและเริ่มเรียนสด วันที่ 2/7/2022 และ 3/7/2022(ดูย้อนหลังได้).ผสานความรู้พื้นฐานและเทคนิคเพื่อค้นหาหุ้นแกร่งในไตรมาส 3 และครึ่งปีหลัง.ในสถาณการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีวิกฤติรออยู่หลายลูก ทั้งเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้การลงทุนในครึ่งปีหลังยากมากขึ้นคอร์สนี้จะพาผู้เรียน วิเคราะห์ทั้ง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และรายบริษัท เพื่อให้เห็นภาพอนาคตและเลือกหุ้นลงทุนได้ง่ายขึ้นรวมถึงเทคนิคการเข้าหุ้นให้คม โดยใช้พื้นฐานกรองหุ้น ผสานเทคนิคจับจังหวะ เพื่อการทำกำไรอย่างยั่งยืน

🎯เรียนแล้วได้อะไร.

💸การวิเคราะห์ภาพใหญ่ ตัวเลขเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม พร้อมเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ให้ง่ายขึ้น

💸สรุปมุมมองกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังจากหลายสำนัก

💸วิเคราะห์และหาหุ้นเติบโตโดยผสานพื้นฐานและเทคนิคตามแนวทาง LABHOON

💸เทคนิคการเข้าซื้อแบบ muti time frame เพื่อยืนยันจุดซื้อขายให้คม

💸เคล็ดลับวางแผนจังหวะเข้าซื้อ ขาย ทำกำไรและตัดขาดทุนให้คม

💸การวาง money management ให้มีประประสิทธิภาพ

💸กรณีศึกษา เจาะลึกหุ้นที่เติบโตสวนเศรษฐกิจ มากกว่า 10 ตัว จัดเต็มทั้งพื้นฐานและเทคนิค

พิเศษสำหรับ ผู้ที่สมัครภายใน 18/6/2022 เท่านั้น💰ราคาพิเศษเพียง 12,900 บาท จาก 15,000 บาทและได้รับ สมาชิก labhoon ฟรีทันที 3 เดือน มูลค่ากว่า 2,000 บาท

📱ติดต่อสมัครเรียนได้ที่ line ID: @labhoon📱add line https://urlty.co/TLQ.มาเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อการเทรดอย่างยั่งยืนกันครับ

กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต

กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต
การที่ตลาดหุ้นไทยลดลงประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นช่วงที่น่าสนใจ แล้วหลายคนคงจะทราบไว้แล้วว่าการเกิดวิกฤตทุกครั้งนั้นก็เป็นโอกาสเสมอเช่นกัน เราจะมาคุยกันว่าแล้วอะไรที่เป็นปัจจัยในการที่เราจะเลือกว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือยัง
.
ข้อที่ 1 เราจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่
คือ ณ เวลานั้นควรจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ยกตัวอย่างนะครับ เราสามารถเอาตัวปันผล โดยสามารถเอาราคาผลตอบแทนปันผลที่เราคาดหวังไว้มาลบกับเงินฝากหรือผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นกับตราสารหนี้นั้นจะมีความต่างกันอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ดังนั้นถ้าต่ำกว่า 2% คนก็อาจจะไม่เลือกลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าเพราะว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ถ้าเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆคนก็จะสนใจหุ้นมากกว่าเนื่องจากอาจยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า
.
ข้อที่ 2 ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและไม่หมดอายุ
เพราะเราต้องมองว่าถ้าอยู่ในวิกฤตเราต้องเอาไว้แลกเปลี่ยนเพื่อใช้จ่าย เพราะว่าบางครั้งวิกฤตก็อาจจะยาวนาน
.
ข้อที่ 3 ควรจะกระจายสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสม
เพราะในช่วงวิกฤต มักจะมีผลกระทบไปในหลาย Sector อยู่ในหลายธุรกิจ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะทำกับกันหลังจากผ่านพ้นวิกฤตไปแล้วได้จากธุรกิจก็ดีขึ้นไม่พร้อมกัน ในหุ้นกระจายในหลายอุตสาหกรรมหรืออาจจะหุ้นหลายตัวหน่อย
.
ข้อที่ 4 ควรจะเลือกสินทรัพย์ที่มีปันผล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว
พอดีช่วงวิกฤตนั้นกระแสเงินสดจากการลงทุน ก็ควรจะต้องมีด้วย เพราะจะได้มีกระเเสเงินสดนำมาใช้จ่ายในช่วงนี้ เช่นกัน
.
ข้อที่ 5 ควรจะต้องบริหารความเสี่ยงของราคาด้วย
เราไม่สามารถรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดต่ำสุดของราคา แต่เราสามารถใช้วิธีการ DCA เป็นการซื้อเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลา เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
ในอดีตที่ผ่านมาวิกฤตละครั้งใช้เวลามากน้อยและการลงเป็น%นั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญและมองเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในช่วงวิกฤตนั้นเอง

หุ้นเข้าโซนอันตราย กลุ่มไหนยังมีอนาคต?

ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบาก รวมหลาๆวิกฤติในช่วง 100 ปี ทั้งโรคระบาด และสงคราม มาฟังแนวคิดของ อ นิเวศ ว่าประเมินอย่างไร ใช้กลยุทธ์แบบไหน

ตลาดหุ้นในช่วง 2009 2019 ที่ผ่านมาวิ่งขึ้นมาสูงมากเนื่องจากภาวะที่เอื้ออำนวยจาก
ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจเติบโต สภาพคล่องสูง นักลงทุนรายย่อยเข้าสูง
ตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2009 2019 ครบ 10 ปีมักจะมีวิกฤติ แต่ก็ไม่เกิดวิกฤติ แล้วต่อมา เกิดวิกฤติโรคระบาด

แต่หุ้นตกมาสั้นมาก แทบไม่เป็นวิกฤติ ทุกประเทศเร่งอัดฉีด
และเกิดฟองสบูในหุ้น Hitech ทุกคนเปลี่ยนความคิด ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
สิ้นปี 2021 ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปพีค และทำสถิติใหม่

แต่จากปัจจัย ทันทีทันใดเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน และ supply ขาดแคลนจากการปิดเมืองโดยเฉพาะประเทศจีน
ทำให้ภาพเปลี่ยนราคาสินค้าโภคภัณฑ์วิ่งทั่วโลก และกระทบราคาอาหาร และเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อสูง ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีทั่วโลกตกเละเทะ

Nasdaq ตก 14%
ดัชนีที่ขึ้นไม่มากอย่างไทยลงไม่มาก หุ้นบ้านเราเป็น value
เวียดนามตกไป14% ใกล้เคียง Nasdaq
หุ้นจีนตกไม่มาก เพราะขึ้นน้อย

เข้าไปดูใส้ในของตลาดหุ้นไทย ไทยมีตลาดตัวเล็กตัวกลางที่เก็งกำไรหนัก แต่พวกนี้มีผลต่อดัชนีน้อย

เราไม่รู้อาจจะลงต่อหรือเปล่า ลงมากพอหรือยัง ต่อไปต้องจับตาว่าจะเป็นวิกฤติหรือเปล่า

หุ้นถ้ามองย้อนหลังตั้งแต่ปี 2009 โตมาเรื่อย ๆ ตกนิดหน่อยตอนโควิท และขึ้นไปจุดสูงสุดใหม่ และลงมาแต่ยังสูงกว่าก่อนโควิท 20-30% โอกาสที่จะลงมาต่อยังมี ถ้าเป็นวิกฤติ

รอบนี้ถ้าวิกฤติจะเกิดอย่างไร

รอบนี้เงินยังมีแต่ค่อยๆงวดลงใช้เวลาหลายปี ทำให้ดูลำบาก และตลาดไม่ตกใจ
โอกาสในการทำกำไรคือวิกฤติที่หุ้นตกเยอะๆ แต่ตอนนี้นี้หุ้นยังไม่ตก คน long term ไม่รู้ซื้ออะไร

หุ้น value ก็ไม่ตก แต่เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น growth
หุ้น growth ก็ไม่ได้ตกแรง จน PE น่าสนใจ

ปัจจัยที่กระทบตลาดหุ้น ตัวที่ชัดที่สุดคือ เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย เม็ดเงิน
พอกลับทางน่ากลัวเพราะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขึ้น และลดปริมาณเงิน

ถ้าอเมริกาเอาไม่อยู่คือพัง
เวลานี้การใช้นโยบายการเงินของ เฟตเหมือน ศิลปะในจับปลาก็ต้องผ่อนเบ็ด ให้ค่อยๆลง แรกเกินไปก็ลงหนัก

แต่ตลาดหุ้นอาจจะขึ้นได้จากการฟื้นตัวหลังโควิท แต่หลังจากนั้นจะโตอย่างไร
ความมั่นใจมีไม่สูง ถ้าไม่โตต่อก็ลดพอร์ทลงไป

ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอิ่มตัว ทำให้หุ้นไทยไม่ค่อยไปไหนมา 7 ปีแล้ว

ปกติตลาดปั่นป่วนไม่ค่อยทำอะไร หาหุ้นที่จ่ายปันผลดี ธุรกิจไม่กระทบเงินเฟ้ออะไรมากมาย
กิจการใช้ประจำวัน ไม่มีคู่แข่งใหญ่

ระวังหุ้นที่โตช่วงโควิท
โรงพยาบาล ยาว โตดีช่วงโควิต แต่หลังจากนั้นเหมือนเดิม

ภาวะวิกฤติแบบนี้มีวิธีคิดอย่างไร

Value เน้นดูความแข็งแกร่ง และยังโตได้อีกนาน
เศรษฐกิจ 3 เงินเฟ้อ 3 รวมๆโต 6% ก็ดีแล้ว
PE 50-60% ไม่เอา

อ ไปซื้อหุ้นเวียดนาม เพราะรู้สึกเป็นโอกาส หุ้น super stock ของเวียดนามหลายตัว PE ไม่สูง
ตอนนี้มารเกตแคป 100,000 ล้าน ของไทย 500.000 ล้าน อนาคตน่าจะโตกว่าไทยเพราะคนเยอะกว่า
ซื้อทิ้งไว้เหมือนเดิม

เวียดนามได้ปันผลแง่%ดีกว่าไทย แต่เม็ดเงินน้อยกว่า

ตลาดหุ้นไทยไม่รู้จะเกิดวิกฤติหรือเปล่า แต่ยังถือว่าดีกว่าถือเงินสด
หุ้นกู้เริ่มดี ดอกเบี้ย4% เริ่มมา

หุ้น growth stock ยังอยู่ได้ เพราะหุ้นถือ conner เยอะมากเพราะเขายังไม่ปล่อย ไม่เขื่อนแตก

หุ้นไทยกลุ่มไหนดีสุด
มั่นใจสุดคือค้าปลีกเพราะสะท้อนเศรษฐกิจไทย พวกนี้มั่นใจว่าตามเศรษฐกิจ
ผู้ชนะจะกินตลาดได้เยอะมาก
ธนาคารทุกคนใช้แต่จะมี moment เรื่องหนี้เสีย
พลังงานมีความผันผวน
วัสดุก่อนสร้างเกี่ยวกับคน ถ้าคนใหม่เกิดน้อยลง รัฐไม่ลงทุน

โดยรวมแล้ว อ นิเวศน์ มองว่าตลาดความเสี่ยงสูง แต่ถ้ากิจการเสี่ยงไม่สูงก็อยู่ได้ และไปลงทุนต่อยอดหุ้นsuper stock ในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างเวียดนาม

ที่มา
https://www.youtube.com/watch?v=PbZ7gebmVPE

X