หุ้นเวียดนามจบรอบแล้วหรือยัง

เห็นหุ้นเวียดนามลงมาเยอะ มาฟังความเห้นจากจาก ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และคุณชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ จากบัวหลวงครับ ว่าภาพระยะสั้นและระยะยาวเป็นอย่างไร และหุ้นหรือกองทุนกลุ่มไหนที่จะได้ประโยชน์ในระยะยาว

สำหรับการลงในช่วงนี้ ดร นิเวศน์มองว่าเป้นการปรับตัวทางเทคนิคตามอเมริกาที่ลงหนัก แต่ ระยะยาวเวียดนามยังไปได้อีกเยอะ

ถ้าประวัติศาสตร์ ตลาดเวียดนามเป็นประเทศเกิดใหม่ โตไว ญี่ปุ่น ไทย เวียดนนาม
พบความจริงว่า ตลาดหุ้นของท้ง 3 ประเทศ ประเทศพวกนี้จะเติบโตยาวมาก เป็นเวลาต่อเนื่องกัน 40 ปี
หลังจากนั้นจะ Maturity และ Decline 20 ปีแรกจะโตไวมาก 20 ปีหลังจะชะลอลง แต่ก็ยังโต หลังจากนั้น decline

ญี่ปุ่น เริ่มเปิดตลาดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 4 ปี 1949 ผ่านไป 22 ปี ดัชนีชึ้นจาก 100 ไป 2,700 โตปีละ 16% จากนั้น 18 ปี 2700 – 37,000 20 ปีหลัง 15.7

พอครบ 40 ปี all time ใน 1971 32ปีหลังจากนั้น 37,000ลงมา 27,000 ลบมา 1% ทุกปี

สำหรับประเทศไทย เปิดตลาดปี 2518 ผ่านไป 22 ปี โตปีละ 10% กว่า 2539 ไปพีคที่ 1500 เกิดวิกฤติ ใช้เวลา 18 ปีถึงปี 2557 หุ้นโตแค่ 2.8% 40 ปีหุ้นเราโต 7% บวกปันผล 2-3% เป็น 9%

พอ 2557 ครบ 40 ปี หลังจากนั้น 7 ปี หุ้นโตปีละ1% กว่า

เวียดนามเปิด 22 ปี เปิด 2000 ปีนี้ 2022 ขึ้นมา 12.6%

เวียดนามอีก 18 ปีต้องไปได้อีก เวียดนามตอนนี้ไม่เหมือนเมืองไทย

ชัยพร น้อมพินักษ์เจริญ

ในระยะสั้นน่ากลัวหรือเปล่า กองแต่ละกองมีการเปิดไปเวียดนามเยอะมาก สะท้อนภาพอะไร

คุณชัยพรบอกว่า เหตุการของเวียดนาม ย้อนไปเหมือนช่วงที่เรียนจบเข้าตลาดหุ้น

เริ่มเข้าตลาดหุ้น 2535 เข้ามาตลาดหุ้นอยู่ 600 จุด ฟื้นตัวจากสงครามตะวันออกกลาง ไทยถูกมองว่าเป็นเสือตัวที่ 5
ตลาดหุ้นไทยคึกคักมาก มีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามา

กำลังเทรดอยู่ดีๆ มีข่าวให้ตลาดปรับตัว คือการจับเรื่องการปั่นหุ้น
ถ้าดูโครงสร้างของนักลงทุนเวลานั้น ส่วนใหญ่เป้นรายย่อย สถาบันไม่ค่อยมีบทบาท
แต่ปัจจุบันสถาบันและต่างชาติ มีสัดส่วนสูงข้น

เวียดนามกำลังเจอแบบเรา ที่รายย่อยล้วนๆ และมีเรื่องของการจับการปั่นหุน
เกิดจากเวียดนามพยายามปรับโครงสร้างมาตรฐาน กฎระเบียบให้เป็นสากล
เพื่อปรับจาก frontier market ให้เป็น emerging market

สมัยนั้นที่ไทย คนแห่ขายเพราะไม่รู้ว่าหุ้นที่ตัวเองกำลังเทรดจะโดนการตรวจสอบปั่นหุ้นหรือเปล่า
กระจายเป็นโดมิโนไปหุ้นหลายตัว เหตุการนั้นกระทบประมาณ 3 เดือน
สุดท้ายก็ไปที่การเปิดระบบการเงิน กู้เงินต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
ทำให้หุ้นข้นเป็นรวดเดียวเกือบ 800 จุด

สำหรับตลาดหุ้น เวียดนามหลุดค่าเฉลี่ย 200 วัน
เกิดจากเวียดนามเอาจริงเรื่องปั่นหุ้น เพราะตรวจเจอปุ้บจับติดคุกเลย
หุ้นเวียดนามส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก ประกอบกับเวียดนามปีที่แล้ว ขึ้นมาเยอะ เป็นโอกาสเลยแล้วกันที่จะ เทกกำไร

กองทุนต่างๆ พยายาม ระดมทุนไปลงทุนในเวียดนาม เป็นเรื่องปกติ ที่เห็นประเทศไหนโดดเด่นมาก ก็จะดึงดูดความสนใจ นักลงทุน และกองทุนออมาเยอะ ตรงกับการขายทำกำไรพอดี

คนลงทุนไนเวียดนามเข้าใจภาพระยะยาว ว่าเป็นเหมือนเมืองไทนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว
ในยุคนั้นสถาบันการเงิน และอสังหาเป็น sector ใหญ่ เพราะประเทศไทยอยู่ในช่วงของการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

โครงสร้างคนส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานอายุน้อย ในขณะที่ประเทศไทยเข้าสังคมผู้สูงอายุ

เวียดนามสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน รถไฟฟ้าเพื่อรองรับการขนส่ง

ถ้ามองทั่วเลขเศรษฐกิจ Gdp ขยับขขึ้นมาเรื่อยๆ เกิน 6%
เงินเฟ้อยังไม่สูงจุดพลุขึ้นไป สิ่งที่น่าสนใจ การส่งออกและการนำเข้ายังโตในระดับดีมาก
Current account เป้นบวก ตรงข้ามกับไทยที่สมัยนั้นติดลบมาตลอด
เพราะเห็นบทเรียนจากประเทศไทยเพราะจะเป็นจุดอ่อนในการโจมตีเรื่องคาเงิน

เรื่องค่าเงินสมัยก่อน เราเห็นค่าเงินเวียดนาม สวิงมาก
ผานมา 3 ปี ค่าเงินเวียดนามนิ่งมาก แสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการ

ตอนนี้เวียนนามกำลังรวมตลาด 2 แห่งของเขา
โครงสร้งของ vn30 ส่วนใหญ่เป็น ธนาคาร และอสังหา และ commodity

เหล็ก เวียดนามคือช่วงสร้างบ้านเสร้างเมือง เหล็กจะเจริญเติบโตได้ดี

เลยออกตัว Diamond เพราะอันดับ 1-2 ของกลุ่มเป็น การเงิน และค้าปลีก สะท้อนการสร้างบ้านสร้างเมือและการบริโภค

ดรนิเวศน์

เทคโนโลยีก้าวข้ามอย่างโทรศัพท์ข้ามเป็นมือถือเลย
หลายเทคโนโลยีข้ามไม่ได้ เพราะเวียดนาม ภูมิประเทศเหมือนไทย คนไปเพราไปตากแอร์ ไปทำอะไรที่เดียวจบ
เทคโนโลยีเวียดนามจะไปไวกว่าไทย เพราะใหญ่พอ และสังคมนิยม รัฐบาลมีอำนาจพอสมควร

Spg ทำโปรแกรมขายทั่วโลก ทำแทบไม่ทัน ต้องไปเปิดมหาวิทยาลัยของตัวเอง นักศึกษาท่วม
vinfast ไปสร้างรถไฟฟ้าที่อเมริกา ที่กลับมาขายอเมริการและกลับมาเวียดนาม

คล้ายๆเกาหลี ที่ผลิตมาขายแข่งเลย ต้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า

ดร เน้นลงทุนในอะไรที่แน่นอน โรงไฟฟ้า และค้าปลีก
เพราะหลายประเทศไปลงทุนที่เวียดนามเพราะชดเชยจากจีน เพราะ productivity ดีกว่า
เจริญเพราะนักลงทุนต่างเทศ ต้องการแรงงาน แรงงานก็ไปบริโภค ซื้อบ้าน เดินห้าง
การท่องเที่ยวต่อไปจะดึงคนเข้าไปเที่ยว
ดูแล้ว 18 ปีข้างหน้าสบายๆ ทุกวันนี้ส่งออกมากกว่าไทยไปแล้ว จะแซงประเทศไทย
สัดส่วนส่งออกต่อ gdp มากกกว่าไทย

ส่งที่พัฒนาตอนนี้เป็นการส่งเสริมอนาคต เป็นการลงทุน ไม่ใช่การอัดฉีดให้ใช้จ่าย

คนจะขยับจากต่างจังหวัดมาไทย มากขึ้นเหมือนกันไทย

สนใจโรงไฟฟ้า และค้าปลีก ขอบริษัทที่กำไรไม่จำเป้นต้องเป็นผู้ชนะ แต่ค้าปลีกต้องเป็นผู้ชนะ
ต่อไปจะมากกว่าไทย เนื่องจาก sme ไม่ค่อยแข็ง เพราะ sme หายไปช่วงเวียดนามใต้แพ้
ส่วนใหญ่เป้นรายใหญ่มาเลยกำลังแข่งกัน ยังไม่มีผู้ชนะชัดเจน
sector ที่จะเป็นผู้ชนะมีมากกว่าไทย
โรงพยาบาลยังมีไม่เยอะ
ผู้ให้บริการมือถือ มีของหลวงยงไม่โดดเด่นขนาดนั้น

ซื้อ Diamond ต่างชาติที่อยากซื้อ เป็นหุ้นแนว super stock

ชัยพร

ทำไมต่างชาติขายเวียดนาม

จริงเวลาพูดถึงต่างชาติ คนไทยไปเวียดนามก็คือฝรั่ง
ปีที่แล้วลูกค้าบัวหลวงก็เยอะ และเทคกำไรบางส่วน ในระยะสั้น
Pe ของตลลาด กำไรโตกว่าปรเทศไทย แต่ PE 15 เท่า
การที่ตลาดลงแต่ กำไรไม่ลง แสดงว่าถูกลง

เวียดนามมองว่าระยะสั้น เหมือนไทยคือโดนโควิทมาด้วยกัน
การบริโภคก็คล้ายประเทศไทยต้องใช้เวลา กว่าจะกล้ากินข้าว และท่องเที่ยว
เวียดนามพอโควิทไม่ขึ้น การเดินทางเริ่มกลับมา ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวของการบริโภค
สิ่งต่างๆเหล่านี้กำลังกลับมา

ก่อนหน้านี้คนเดินห้างน้อย ก็ต้องลดค่าเช่า ให้ร้านพวกนี้ยังอยู่
เวลาต่อไปเริ่มปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้น

ตลาดอาเซียนปีนี้เล่นดีมาก
ของไทยนักลงทุนมีความรู้มากขึ้น กองทุนมีบทบาทมากขึ้นในตลาดหุ้น มีผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสเถียรภาพมากขึ้น
และรอบเศรษฐฏิจที่ ช้ากว่าฝังอเมริกา นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา

กองทุน Diamond pe 15 เท่า ต่ำกว่า growth ไม่เหมืนประเทศไทยที่ ถ้าเจอหุ้นที่เติบโตสูง pe จะสูงกกว่า growth

ขณะเดียวกัน growthที่เกิดขึ้นจะอิ่มตัวประมาณเมื่อไร สำหรับประเทศไทย กำไรที่ลดลงเกิดจากโครงสร้าประชากรที่เปลี่ยนแปลง

ถ้าย้อนไปดู 2015-2020 การเตบโตของกำไรแทบไม่เติบโตมากแล้ว แต่ก่อนโตจาก การลดภาษี และการอุดหนุนสินค้าเกษตร
ทำให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อไม่ได้ ทำได้แต่ rotation แต่ ดัชนีไม่ไป

แต่เวียนดนามไม่เห็นภาพนั้น เพราะการเติบโตของกำไรยังไปได้ 10-12 ได้ต่อ

ความเสี่ยงเรื่องนโยบายนาจะน้อยกว่า เพราะเศรษฐกิจใหญ่ทุกคนต้องเอาใจ ทุกวันนี้โตจากการเปิดประเทศ โดยเฉพาะตะวันตกที่นำเข้าสินค้าเยอะ

โดยรวมแล้วยังเห็นอนาคตของประเทศเวียดนามที่ยังไปได้อีกยาว จากโครงสร้างประชากร และการขยายตัวทางเศรษฐกิจการจากลงทุนจากต่างประเทศ เมื่อคนมีเงินก็จะเริ่มใช้จ่าย หุ้นค้าปลีกก็จะมาต่อไป

สรุปเนื่อหา จากคลิป BLACK SWAN วันมืดมิด ในชีวิตการลงทุน EP.6

สรุปเนื่อหา จากคลิป BLACK SWAN วันมืดมิด ในชีวิตการลงทุน EP.6 อนุรักษ์ บุญแสวง
.
ชีวิตในวัยเด็กอาจารย์โจนั้นค่อนข้างจะลำบากเนื่องจากคุณพ่อนั้นได้จากไปในเวลาอันสั้นในช่วงอาจารย์ยังเรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 คุณแม่ของอาจารย์ก็ได้เลี้ยง 4 คน เนื่องจากความลำบากคุณแม่ได้ค้าขายร้านขายของชำแล้วคุณแม่ก็ได้พูดถึงเรื่องให้จ่าย พูดถึงเรื่องเงิน ทำให้อาจารย์โจนะรู้สึกว่าเราอยากรวย
.
อาจารย์โจบอกว่าไม่รู้หรอกว่าอยากเป็นอะไรแต่รู้แค่ว่าอยากรวย อาจารย์จะรู้สึกว่าเงินทองนั้นหายาก ช่วงที่อาจารย์เริ่มเรียนมอปลายก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะรวยได้อย่างไร
.
อาจารย์ค้นพบว่าการลงทุนนั้นจะมีเรื่องของความเป็นเจ้าของกิจการ การเติบโตไปกับกิจการและความมหัศจรรย์ของการทบต้น อาจาร์ยค้นพบว่าคนชั้นกลางจะมีเงินร้อยล้านได้จะต้องทำวิธีนี้ อาจารย์โจคำนวณปีละ 20% ทบต้นแต่ในความเป็นจริงอาจารย์ทำได้มากกว่านั้น 100 ล้านจึงมาเร็วกว่าที่คาด
.
การลงทุนในความรู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุน อาจารย์ได้เลือกการลงทุนแนว vi รู้สึกว่าแนวนี้เป็นแนวที่ใช้สุดสำหรับอาจารย์


การซื้อหุ้นครั้งแรกของอาจารย์นั้นขาดทุนถึงขาดทุนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากนั้นอาจารย์ได้ฟังข่าวจากทางนักวิเคราะห์เพียงเดียวแต่อาจารย์ยังดูงบไม่เป็นด้วยซ้ำในช่วงแรก ดาราตำนานอาจารย์โจก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมแล้วได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องจนมีวันนึงอาจารย์รู้สึกว่าผู้ที่ถือนั้นไม่ไปไหนเลยรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองเดินถูกทางหรือไม่ แต่ก็ได้อดทนต่อความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ อีกไม่นานหุ้นตัวที่ถือก็ได้ขึ้นไปเป็นอย่างมาก การเชื่อมั่นว่าได้เดินมาถูกทางแล้ว


อาจารย์โจเชื่อว่าถ้าจะรวยได้ต้องเพิ่มรายได้แต่ถ้าช่วงแรกนั้นเพิ่มรายได้ได้ยากก็ต้องเน้นประหยัดที่มากเข้าไว้ ก็มาทำงานในกรุงเทพฯอาจารย์โจนั้นได้อยู่ห้องเช่าที่ราคาถูกมากและไม่ซื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นเลยในชีวิตแม้กระทั่งมือถือ เนื่องจากต้องใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและนำเงินที่เก็บได้ให้มากที่สุดมาลงทุน แต่อาจารย์ก็บอกว่าการที่อาจารย์ทนอยู่ได้เนื่องจากมีความฝันที่ยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายรออยู่ การตัดสินใจทำงานทุกอย่างที่ได้เงินเพื่อมาลงทุนเลือกที่จะเป็นเจ้านายตัวเองไม่อยากจะเรียนต่อเพื่อกลับไปรับเงินเดือน เราเชื่อว่าเงินก้อนนั้นจะนำพาให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งขึ้นมาได้


ตอนนั้นก็ได้ลาออกจากงานมาลงทุนทั้งตัวแล้วก็ได้เลี้ยงตัวเองจากเงินลงทุนนั้นมาตลอดแต่ในช่วงการลงทุนนั้นมันก็ไม่ได้เรียบง่ายเสมอไปอาจารย์โจ้ก็ต้องเจอในช่วงภาวะตลาดที่ไม่ดีเช่นกัน


อ.โจบอกว่ายังไงในช่วงการลงทุนเราก็ต้องเจอวิกฤต อาจารย์ก็เสียหายเหมือนกันแต่อาจารย์ก็บอกว่าเราได้ทำใจไว้แล้วในเส้นทางลงทุนนี้ อาจารย์บอกว่าทางแก้ทางเดียว คือ เราเจอเราเสียหายได้แต่เราอย่าหมดตัว ห้ามกู้เงินมาลงทุน การลงทุนต้องทำใจไว้เลยว่าไม่มีใครสามารถมีวิกฤตได้แค่บางครั้งอาจจะโชคดีเท่านั้นที่เราสามารถออกได้ทัน เราไม่สามารถทําให้ทุกครั้ง ดังนั้นการวางแผนเราต้องวางแผนตอนที่เรามีสติดีๆตอนที่ยังไม่เกิดวิกฤตเราต้องเตรียมตัวไว้ก่อนเลย ผมจะต้องมีแผนล่วงหน้าไว้เสมอ การที่เราไม่มีเงินกู้นั้นจะทำให้เราไม่ถูกบังคับขายในช่วงวิกฤต สิ่งที่ห้ามทำก็คือขายหุ้นดีๆทิ้งตอนที่เกิดวิกฤตในจุดต่ำสุดในช่วงนี้หุ้นลงมากๆแล้วไปขายอันนั้นไม่ควรทำเป็นอย่างมาก เวลาหุ้นลงมากๆอาจารย์จะใช้จะใช้หลัก Money management คือการช้อนซื้อไปเรื่อยๆไปตอนหุ้นมีราคาถูกมากๆโดยที่ไม่เดาว่าจะเจอจุดต่ำสุดตรงไหน
อาจารย์มองว่าจุดที่ทุกคนคาดหวังที่สุดคือซื้อให้ถูกที่สุดแล้วขายให้แพงที่สุดแต่อาจารย์บอกว่าผมซื้อ ขายมาเป็นแสนครั้งผมทำได้แค่ครั้งเดียว แม้กระทั่งขายหมูยังไงก็กำไรแล้วรวยอยู่ดี เป็นนักลงทุนอยากจะแสวงหาความสมบูรณ์แบบถ้ารู้สึกว่ามันถูกก็ซื้อถ้าซื้อก็มันแพงเกินไปก็ขาย


ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของการลงทุนนั้นก็คือตัวเรา กลัวที่สุดมีแต่ข่าวร้ายประถมนั่นคือจุดที่ต่ำสุดแทบจะเสมอ เราต้องฝืนสัญชาตญาณให้ได้ไม่งั้นการลงทุนก็เจ๊ง โดยธรรมชาติของนักลงทุนแนว vi จะเป็นคนที่สวนกระแสเสมอ เราต้องคิดทบทวนไปมาว่าอะไรที่ดูดีเกินไปมันมีความเสี่ยงมันจริงหรือเปล่าซ่อนอยู่ หรือไม่ เราจะไม่เชื่อคนง่ายๆแล้วจะเชื่อในหลักการของเรา การลงทุนแนว vi ก็เหมือนการวิ่งมาราธอนช่วงแรกปล่อยตัวก็ยังมีคนวิ่งอยู่มากแต่พอยาวนานๆไปผ่านวิกฤต ก็จะมีคนหายไปเรื่อยๆ


การมาของโควิต อาจารย์บอกว่าอาจารย์เองก็ไม่รู้แต่อาการและศึกษาประวัติศาสตร์ของการลงทุนในช่วงในช่วงที่มีโรคระบาดอาจารย์มีแผนว่าถ้าหากเกิดโรคระบาดขึ้นอาจารย์จะทำการช็อตเพื่อประคองพอทเอาไว้ดังนั้นพอมีคุยกับอาจารย์จึงได้ทำตามแผน


ในชีวิตการลงทุนในไม่ได้เงียบง่ายเสมอไปก็มีการพ่ายแพ้มาไม่น้อย เหมือนที่ Winston churchill ได้กล่าวไว้ว่า บางครั้งเราแพ้ศึกเพื่อชนะสงคราม


อาจารย์เห็นบางครั้งบางคนไม่ยอมแพ้ไม่ยอมล้มก็หมดตัวไปหลายคนเหมือนกัน อาจารย์บอกว่าช่วงลงทุนใหม่ๆนั้นก็มีผิดเยอะมากแต่เราก็ต้องพยายามเรียนรู้เพื่อที่จะเก่งขึ้น แม้กระทั่งทุกวันนี้มันก็ยังมีผิดอยู่เรื่อยๆแต่หัวใจสำคัญที่สุดก็คือถ้าผิดแล้วคุณห้ามตาย การเสียหายหนักในตลาดหุ้นมีไม่กี่อย่างคือ 1 ใช้ margin 2 All In


อาจารย์เคยเสียหายหนักจากหุ้นบางประเภทเช่นกันเช่น หุ้นวัฏจักร
อาจารย์เชื่อว่าการลงทุนที่จะประสบสำเร็จนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ Insider หรือใช้ความเป็นรายใหญ่แต่สามารถใช้ข้อมูลที่เป็นข้อมูลสาธารณะแล้วทายความสามารถในการวิเคราะห์เพื่อจะสร้างความมั่งคั่งได้
หุ้นที่ต้องระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือหุ้นที่มีตัวแปรเยอะ เช่น หุ้นเกษตร หรือผู้นำตาลที่จริงแล้วน้ำตาลและมีตัวแปรประมาณ 10 ชนิด


และหุ้นดัชนีก็คือหุ้นที่มีการพึ่งพาปัจจัยเดียวมากเกินไป เช่นบริษัทที่มีการพึ่งพาบริหารเพียงอย่างเดียวถ้าบริหารคนนี้บริษัทจะเจ๊ง หรือมีสถานที่เดียวอันเดียวถ้าเกิดถ้าหากเกิดไฟไหม้ก็เจ๊ง
แล้วเรื่องการซื้อตอนคนตกใจมากๆอาจารย์โจ้บอกว่าเราต้องระวังเพราะตอนวิกฤตนั้นมันเกิด circuit Breaker ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งมาก


อาจารย์บอกว่าทุกวันนี้เรามาไกลกว่านี้อีกเยอะมากแล้วการที่เราเห็นใครดีกว่าเราเราก็ควรจะยินดีและอนุโมทนากับเขาไป


อาจารย์ให้ความสำคัญกับปัจจัยของผู้บริหารเป็นอย่างมาก การวิเคราะห์ ผู้บริหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ต่อให้เราเก่งแค่ไหนถ้าเราไปลงทุนกับผู้บริหารประเภทนี้สุดท้ายเราก็จะไม่เหลืออะไรอยู่ดีอาจจะโดนโกงจนหมดเลยก็ได้ ผู้บริหารในฝันคือ

ตั้งใจทำธุรกิจจริงๆ มีผลประโยชน์สอดคล้องกับเราคือเขาถือหุ้นด้วยในสัดส่วนค้อนข้างเยอะ
แต่ถ้าหากเป็นผู้บริหารประเภทเค้าได้ แต่ผู้ถือหุ้น loss อาจารย์จะไม่ยุ่งเลยเด็ดขาด
ก็เหมือนกับในชีวิตจริงเราสามารถเลือกคบคนได้แล้วจะคบคนพาลทำไมเราควรจะคบบัณฑิต
วิธีการจำแนกเบื้องต้นก็คือดูคำพูดและการกระทำกับคำพูดและการกระทำไม่ตรงกันอันนั้นก็ต้องระวัง มีวิสัยทัศน์ที่ผ่านมาทำได้ ไม่มีพฤติกรรมที่โกหก


อาจารย์มองว่าตลาดหุ้นอดีตกับปัจจุบันอาจจะแตกต่างกันบ้างแต่สุดท้ายตลาดก็ยังคล้ายกันคือตลาดนั้นเคลื่อนที่ด้วยความโลภและความกลัว คำถามคือณตอนที่อาจารย์เข้าตลาดมาตลาดหุ้นอยู่ 400 จุดก็มีคนมองว่าตลาดมันเป็นสุสานแต่คนที่กล้าในเวลาที่ถูกต้องนั้นก็สมควรจะต้องได้รับผลตอบแทนรางวัลแล้ว ไม่ว่าตลาดตอนนั้นหรือตอนนี้ก็แตกต่างกันยังไงแต่โดยหลักการนั้นก็ยังขับเคลื่อนด้วยวิธีการที่คล้ายคลึงกัน
อาจารย์มองว่าดัชนีนั้นก็มีส่วนแต่โดยส่วนใหญ่แล้วนั้นเกิดจากการที่เราเลือกหุ้นเป็นสำคัญ อาจารย์บอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีหลากหลายวิธีแต่ทำไมอาจารย์ถึงเลือกแนว vi เพราะว่าอาจารย์เห็นว่ามีคนมาสำเร็จจริงๆด้วยแนว vi โดยการดูจากคนส่วนใหญ่ที่สำเร็จนั้นค่าเฉลี่ยมากแค่ไหนในแนวทางนั้นๆ
อาจารย์เน้นย้ำกับนักลงทุนมือใหม่ คือการลงทุนนั้นสำคัญที่สุดคือ ก้าวแรก ถ้าคุณก้าวไปในทางที่ผิดไม่ว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย เพราะหากว่าเราเดินทางเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน 5 ปี 10 ปีก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีได้มีเสียเหมือนเรือที่วนรออยู่กลางน้ำไม่ไปไหน


ชาลีมังเกอร์ กล่าวว่าผมจะพยายามศึกษาว่าผมจะตายที่ไหนเพราะถ้าผมรู้ว่าผมจะตายที่ไหนผมจะไม่ไปที่นั่น ในตลาดหุ้นเหมือนกันเรารู้อยู่แล้วว่าวิธีไหนที่จะพาเราไปตายเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง
อาจารย์โจฝากว่าให้เลือกลงทุนวิธีการที่ถูกต้องและสิ่งสุดท้ายสำหรับนักลงทุนมือใหม่ก็คือคืออยากมีข้ออ้างเยอะ ให้เริ่มลงมือทำครับ

สรุปหนังสือใหม่ Ray Dalio วิธีรับมือระเบียบโลกในอนาคต ตอนที่ 1

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนระเบียบโลกมันเกิดจากอะไร เราจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดีได้อย่างไร คุณเชื่อไหมครับว่าแพทเทิร์นการขึ้นมาและทดถอยของแต่ละประเทศนั้นมันคล้ายกันหรือแทบจะเหมือนกันเลยมันมี Pattern เหมือนกัน ภาพภูเขาจะบอกว่าไม่ว่าจะประเทศอะไรก็ตามในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ มันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเชิงรายละเอียด ซึ่งหนังสือเล่มนี้พยายามจะถอดรหัสว่า
.
1.มันรุ่งหรือมันร่วงได้อย่างไร
2.แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเราจะรับมือกับมันและเตรียมตัวได้อย่างไร
3.นักลงทุนควรทำอย่างไร เมื่อระเบียบของโลกมีการเปลี่ยนแปลง
.
หนังสือเล่มนี้จะมีการพูดถึงบิ๊กไซเคิล จะบอกว่าสัญญาณชีพที่จะบอกว่าแต่ละประเทศ เป็นมหาอำนาจและกำลังจะจบลง มันเกิดจากอะไรและแพทเทิร์นนี้เป็นอย่างไร คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าการเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบในอนาคตของโลกจะแตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามจะมีแพทเทิร์นที่คล้ายกันอย่างแน่นอน คุณเรยดาลิโอได้เอาประสบการณ์ที่ลงทุนมาอย่างยาวนานแล้วเขาเองก็ได้เจอประสบการณ์ที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาศึกษาประวัติศาสตร์อย่างจริงจังถึง 500 ปีย้อนหลัง

ในปี 1971 สหรัฐอเมริกามีเงินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ ตอนนี้สหรัฐนั้นได้ผูกเงินกับทองคำ เงินดอลลาร์จะมีค่าเพียงสามารถนำมาได้เป็นทองคำได้หรือมันแค่เช็คเท่านั้น เพราะตอนนั้นทองคำคือเงินที่แท้จริงนั้นเอง สหรัฐนั้นจะใช้เงินไปมากและมีทองคำไม่เพียงพอจากปริมาณเช็คเงินที่ได้ใช้เอาใช้นั้นเอง และหลังจากนั้นเองคนที่เงินดอลลาร์ก็รีบเอาเงินไปแลกทองคำเพราะกลัวว่าจะไม่มีทองคำให้ ในเย็นวันที่ 25 สิงหาคม ประธานาธิบดีริชาร์ดนิกสัน ได้ออกโทรทัศน์และพูดเป็นนัยๆว่าสหรัฐกำลังจะเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นเรียกว่า Nixon shock แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกดอลลาร์ผูกกับทองคำ ตอนนั้นคุณคุณเรยดาลิโอ้คิดว่าตลาดหุ้นต้องดิ่งเหวแน่นอน ตลาดหุ้นก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิดตลาดหุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มันน่าประหลาดใจมากเพราะเขาไม่เคยเจอกับการลดค่าเงิน เขาจึงไปค้นประวัติศาสตร์แล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วแม้แต่ในอเมริกาเองก็ตามเกิดขึ้นในปี 1933 ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ตอนนั้นทองคำก็ผูกกับดอลลาร์แล้วเขาก็ประกาศยกเลิกการผูกขาดเหมือนกัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้สหรัฐสามารถใช้จ่ายได้อย่างมากขึ้นเพียงแค่พิมพ์เงินออกมา และเนื่องจากความมั่งคั่งของประเทศนั้นก็ไม่ได้มากขึ้นตามจำนวนธนบัตรที่มากขึ้น ทำให้คุณค่าของเงินดอลล่าแต่ละดอลล่ามีลดลงเรื่อยๆ ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นไปดันในหุ้นและทองคำขึ้นเป็นจำนวนมาก คุณเรยดาลิโอ้ ได้ค้นพบถอยย้อนไปมากๆก็ได้ค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอดีต จากประเทศที่เป็นผู้นำ ณ ช่วงเวลาต่างๆเนื่องจากมีการใช้จ่ายมากกว่าภาษีที่เก็บได้นั่นเอง ซึ่งทำให้ราคาสินค้าชนิดต่างๆได้สูงขึ้นนั้นเอง
คุณเรยดาลิโอ้บอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางนั้นพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมากให้คุณซื้อหุ้นทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์นั้นเอง คุณต้องเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต คุณเรยดาลิโอ้จึงศึกษาฟองสบู่จากในอดีตมาเรื่อยๆทำให้คุณเวลาเท่านั้นทำกำไรได้อย่างมากมายและรอดพ้นจากวิกฤตในช่วง 2008
.
3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก คือ
.

  1. หลายประเทศไม่มีเงินเพียงพอจะชำระหนี้จึงต้องพิมพ์เงินออกมาแม้จะลดดอกเบี้ยเหลือ 0 แล้วก็ตาม
    .
  2. มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเนื่องจากช่องว่างของความมั่งคั่งและความเชื่อทางการเมือง
    .
  3. มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นจากภายนอกระหว่างชาติมหาอำนาจที่กำลังผงาดขึ้นและชาติมหาอำนาจที่กำลังจะถดถอยลง ปัจจุบันก็คือจีนกับสหรัฐนั่นเอง
    เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบของโลกซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงปี 1930 1945 ในช่วงที่ใกล้ที่สุด
    ระเบียบโลกคืออะไร ระเบียบโลกคือระบบการปกครองที่ทำให้ผู้คนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ละประเทศก็จะมีแบบภายในเป็นของตัวเอง แล้วมีระเบียบจากข้างนอกด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นระเบียบจะภายในหรือภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสงคราม เช่นรัสเซียเกิดการปฏิวัติการปกครอง จีนเองสมัยเหมาเจอตุงก็เช่นกันคือพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาล้มระบบเก่า ก็คือที่เรียกว่าอำนาจใหม่นั้นชนะอำนาจเก่า
    แต่ยุคที่พวกเราอยู่นั้นเกิดมาก็คือยุค ระเบียบโลกของปัจจุบันก็คือสหรัฐอเมริกา ระบบการเงินของโลกปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ที่เรียกว่า Bretton Wood คือระบบที่ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก
    ราคาดอลลาร์นั้นเป็นเงินสกุลหลักของโลกในการเป็นทุนสำรองนั่นคือเงื่อนไงที่ทำให้ประเทศนั้นเป็นมหาอำนาจของโลก ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เรียกว่า Big Cycle
    คุณเรยดาลิโอ้ได้ศึกษา 10 จักรวรรดิที่รุ่งเรืองตลอดมาในโลก เช่น ดัช เหรียญ กิลเดอร์
    อังกฤษ เหรียญ Pond มีความยิ่งใหญ่ถดถอยและมีการขึ้นมาแทนเสมอๆเป็นต้น
    วงจรหนึ่งนั้นกินเวลาประมาณ 250 ปี และมีช่วงซ้อนทับประมาณ 10-20 ปี และโชคดีคือเราอยู่ในช่วงนี้ครับ
    มี 8 มาตรวัดในการดูว่า ชาติใดเป็นมหาอำนาจ
    1.เรื่องการศึกษา
  4. นวัตกรรมและเทคโนโลยี
  5. ความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก
  6. ผลผลิตทางเศรษฐกิจ
  7. ส่วนแบ่งทางการค้าของโลก
  8. ความเข้มแข็งทางการทหาร
  9. ความแข็งแกร่งทางการเป็นศูนย์กลางทางการเงินสำคัญของโลก
    8.ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ในฐานะสำรอง

มาตรวัดเหล่านี้เมื่อทำมาแล้วให้ทำด้วยวิธีการหาค่าเฉลี่ยถ้าประเทศไหนมากสุดประเทศนั้นก็คือมหาอำนาจ สามารถมองเห็นได้ว่าประเทศไหนมีโอกาสทั้งอัดขึ้นและประเทศไหนกำลังจะถดถอยลง การศึกษาที่ดีพัฒนาไปสู่การสร้างเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมาตรฐานดีก็ก็จะนำไปสู่ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง แล้วมีผลลัพธ์ตามมาตรวัดทั้ง 8 อย่างนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ รายการถดถอยนั้นก็ลง 8 อย่างคล้ายๆกัน

ช่วงไหนที่มีช่วงรุ่งเรืองมากๆ ในช่วงที่มีความสงบคนก็อยู่สุขสบายแล้วมีการเดิมพันมากเรื่อยๆ กูยืมเงินต่อไปเรื่อยๆเพื่อนำมาพนันกับความรุ่งเรืองต่อไปอีก ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าการนำไปสู่ของสบู่ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันความมั่งคั่งนั้นหรือสกุลเงินหลักนั้นก็ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน เขาจะเกิดเป็นความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง ระหว่างคนรวยและคนจนที่ห่างกันออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้น พอฟองสบู่แตกก็จะนำไปสู่การพิมพ์เงิน และสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจักรวรรดิก็จะเกิดความวุ่นวายมากขึ้น เมื่อเป็นปัญหาภายในมากขึ้นอำนาจของจักรวรรดินั้นก็เริ่มลดลง แล้วก็ถ้าเกิดปัจจัยภายนอกเข้ามาท้าทายอำนาจเก่าก็คืออำนาจใหม่ เป็นปัจจัยภายนอกนั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเกิดในรูปแบบของสงคราม หลังจากนั้นผู้ชนะก็จะมาเป็นผู้สร้างระเบียบโลกใหม่ ภาพเหล่านี้เกิดขึ้นย้อนไปได้ถึงจักรวรรดิโรมันเลยทีเดียว ซึ่งเกิดเป็นมหากาพย์ 500 ปี ประเทศก็เหมือนคนมีการเกิดแก่เจ็บตาย
วิธีการดูที่ดีที่สุดคือ Health Indicator เค้าได้ค้นพบว่าประเทศก็มีสุขภาพเหมือนกันซึ่งเขาแบ่งแยกมาเป็น 8 ชนิด
ช่วงเวลา Big Cycle แบ่งออกเป็น 3 ช่วง 1 รุ่งเรือง 2 รุ่งโรจน์ 3 เสื่อมถอย
ช่วงรุ่งเรือง ผู้นำจะต้องทำ 4 ข้อ
1.มีอำนาจรวบรวมเสียง จากการสนับสนุนเป็นส่วนมาก
2.ลดอิทธิพลฝ่ายตรงข้าม ดูวิธีการต่างๆ
3.จัดตั้งระบบ และสถาบัน ที่ทำให้ประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เช่นรัฐธรรมนูญ
4.ระบบการสืบทอดอำนาจ ให้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้บริหารต่อไป

และสิ่งที่สำคัญก็คือประเทศที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องมีระบบการศึกษาที่แข็งแกร่ง แล้วนอกจากความรู้แล้วจะต้องบ่มเพาะอีก 3 บุคลิก
1.บุคลิกของความเข้มแข็ง

  1. ความมีอารยะ
  2. ความปรารถนาในการทำงานหนัก
    สิ่งเหล่านี้จะเกิดจากผู้นำครอบครัวและศาสนา รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องไม่มีการคอรัปชั่น ซึ่งจะทำให้พวกเค้ามีเป้าหมายปรองดองสามัคคีกันและช่วยผลักดันสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาผลิตจากสินค้าพื้นฐานและไปผลิตสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีแทน ซึ่งก็คือนวัตกรรมนั้นเอง

สรุปสุดยอดแนวคิด เส้นทาง เซียนฮง กว่าจะถึงวันนี้ผ่านอุปสรรค์มาได้อย่างไร

1.จุดเริ่มต้นการลงทุนในปี 2004 เพราะเห็นเพื่อนเล่นแล้วได้กำไร แต่ช่วงนั้นเกิดจากตลาดเป็นขาขึ้น ซื้ออะไรก็ได้เงิน ทำให้เริ่มต้นจากการหาความรู้ โดยการตั้งคำถามใน webboard thaivi.org (ไปค้นชื่อ login hongvalue ได้ คมทั้งคนถามและคนที่ช่วยกันตอบ )

2 ช่วง 1-2 ปีแรก ยังไม่สำเร็จ เริ่มไปทำขายตรง ทำอยู่เกือบปี ไม่สำเร็จจึงกลับมาดูหุ้นจริงจัง

  1. เริ่มจับหลักไม่ถูก ยังไม่เข้าใจธุรกิจ ซื้อๆตามหนังสือเช่น บรษัทดี มีหนี้น้อย สินทรัพย์เยอะ แต่เล่นขาดทุน เพราะธุรกิจไม่ดี หรือธรุกิจเป็นหุ้นรับเหมาไปซื้อตอนกำไรเยอะๆ อีกปี กำไรหายเพราะไม่มีงานน
  2. สำเร็จ 2 องค์ประกอบ 1 อดทนนานพอ 2 อยู่บนเครื่องมือที่ถูกต้อง เหมือเราใช้รถยยก ทำไปเรื่อยๆก็สำเร็จ
    .
  3. รู้ได้ไงว่าเครื่องมือถูกต้อง นักลงทุนควรเริ่มจากบัฟเฟตกับปีเตอร์ลินซ์ ถ้าเริ่มจากคนที่กำไรเยอะๆปีเดียว อาจเริ่มต้นผิด เอาโมเดลจากคนที่เงินก้อนใหญ่ และบริหารงานในระยะเวลายาวนาน สะท้อนวิสัยทัศน์ถูกต้อง
    มีภูมิคุ้มกัน เริ่มถูกแรกอาจไม่เห็นผลแต่ 2-3 ปีเริ่มจับจุดได้
    .
    6.แนวคิดสำคัญเช่น หาบริษัทที่มี moat (ทำให้รู้ว่าบริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน) หุ้น 6 ประเภท (ทำให้แยกประเภทหุ้นได้ หุ้นที่วิ่งแรงๆประกอบด้วย หุ้น turnaround growth comodity เท่าที่ผมตามมาส่วนใหญ่จะกำไรหนักๆจากหุ้นกลุ่มนี้ )
    .
    7.วิเคราะห์ธุรกิจไม่ได้มองแค่ตัวเลข แต่ต้องรู้ถึงราก เช่นตัวเลขทางการเงิน ยอดขายมากกว่ามูลค่าตลาด ธุรกิจนั้นเอจเป็น margin ต่ำ, รับเหมาที่ความแน่นอนน้อย, รายได้โตเยอะ แต่ซื้อไปแล้วรายได้ลด
    .
  4. เริ่มมองตัวธุรกิจมากขึ้น บริษัทมีความสมารถในการแข่งขัน และเติบโตได้มากกว่านี้

อะไรเป็นวิกฤติของการลงทุน

  1. เจอว่า market wizard บอกว่าการขาดทุนครั้งใหญ่เกิดตามมาจากการกำไรครั้งใหญ่ตอน คุณฮงบอกว่า ซัพพรามกระทบน้อย หนักตอน 2011 ช่วงน้ำท่วม พอร์ทเละ หลังจากที่ปี 2009-2010 พอร์ทโตไวมาก 20 เท่า
    .
    11.ขาดทุนหุ้นหลักทรัพย์ ตอนนั้น ไตรมาสแรกกำไรโตเยอะ ก็เอามาคูณ 4 บริษัทชอบจ่ายปันผล 75-80 ของกำไร
    กลายเป็นว่ากำไรไตรมาส 2 กำไรหายไปเยอะผิดคาด ราคาหุ้นลงเยอะ ปีนั้นโดนติดกันอีก 4-5 ตัว ทั้ง หุ้น coomo ถั่วเหลือง นิคมไปทำโรงไฟฟ้า

    12.ตอนสร้างพอร์ทไม่ได้สร้างมาด้วยวิธีแบบนั้น จาก 75 ล้านเหลือ 32 ล้าน พอร์ทลงไปครึ่งนึง
  2. ตลาด 2011 แตกต่างกันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ติดการเล่นกราฟมาจากช่วงตลาดกระทิง
    2011 หลุดแนวรับโยนแล้วเป้บเดียวก็เด้ง เข้าใหม่ก็ลงอีก
    .
    14.ถือ warrant ของอสังหาตัวนึงแล้วอสังหาโดนน้ำท่วม วันที่ซื้อ warrant คิดว่าราคาขึ้น 60 เท่า ผ่านไปอีกปีราคาหุ้นไป 1600% ในปีเดียว
    .
    15.ได้บทเรียนว่าถ้ามั่นใจในพื้นฐานหุ้น ให้น้ำหนักกับข่าวภายนอกให้น้อยลง ลงทุนหุ้นที่มีความสามารถในการแข็งขันและมูลค่ายังไม่แพงเกินไปก็จะวิ่งขึ้นไปได้ท่ามกลางข่าวพวกนี้

    16 2013 ชีวิตการลงทุนสวิงมาก พอร์ทประมาณ 70 ล้าน ใช้เวลาไม่กี่เดือนไป 200 และลงมา 100
    พอร์ทลงเร็ว

    ความผิดพลาดจากการใช้มาร์จิ้น ไปซื้อหุ้นสื่อสารตัวนึง intuch ประมูล 3G ผ่าน สัมปทานจากเสีย 25% ของรายได้ จะเหลือ 6% มองไม่เห็ฯว่าจะแพ้ยังไง เริ่มซื้อจาก 70 บาทใช้ มาร์จิ้นแบบเต็มที่ หุ้นintuchวิ่งจาก 70-100 แค่ปันผลก็คุ้มมาร์จิ้น

    17.แต่พอเล่นไปมองพื้นฐานบริษัทผิด รายได้ไม่โตเพราะ nonvoice โต แต่ voice ไม่โต บริษัทได้ค่าสัมปทาน 6% ต้องให้ลูกค้าย้ายไปใช้ ต้องใช้ค่าการตลาดเยอะมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่ม กำไรลดลง หุ้นตก และใช้ margin ทำให้พอร์ทลงไปอีก
    ..
  3. ประเมินธุรกิจอย่าใส่สมติฐานดีเกินจริง มีคนทักท้วงแต่ไม่เชื่อ งบออกหลังจากที่หุ้นลงไปแล้ว ทำให้รู้ว่าเราคิดผิด
    .
  4. สรัทธากับงมงาย จะแยกอย่างไร ถ้าทำการบ้านมาเยอะไม่ใช่ความงมงาย แต่ระหว่างทางถ้าไม่มีแผนการณ์คือความงมงาย สภาพแวดล้อมที่ดี อ่านหนังสือเยอะๆ และอยู่กับคนที่ไม่ทำลายความฝันชาวบ้านจะเอื้อให้เราสรัทธาตัวเอง
    .
    20.ผ่านได้ด้วย การเปลี่ยชีวิตจากการซื้อหุ้นตัวอื่น คือหุ้น KTC (turnaround จากการเปลี่ยนผู้บริหาร ตั้งสำรองขาดทุนความผิดพลาดเดิม และหลังบ้านสะอาดแล้วธุรกิจโตต่อ)
    .
    21โอกาสอยู่รอบตัว คลิปโตมีโอกาสมากกว่าตลาดหุ้น แต่ก็มีความเสี่ยง สำหรับคนที่ศึกษาจริงจัง เหรียญี้ทำอะไรได้บ้าง มีกลไกอย่างไร

22 ต้องรู้ว่าเงินที่ได้มาจากเปิดร้านขายของหรือคาสิโน มีคนชวนเข้าคาสิโน แล้วได้เงิน แล้วในไม่กี่นาทีได้ 3-4 เท่า ถ้าคนทั่วไปจะรู้ว่า 3-4 เท่าที่ได้ ไม่ได้มาจาก skill อะไรเลย แบบนี้เข้าข่ายกลัวตกรถ

บทเรียนที่ได้จากอุปสรรค
.
23.มีจิตใจที่หนักแน่น อย่างตอนถือ warrant ตอนน้ำท่วม ไปถือหุ้นแม่ก็ได้ พอเรากลัวทำให้เรากลัวมากเกินไป เราไม่ได้จัดพอร์ทในทางเลือกที่ดีที่สุด
.
24.จากหุ้นสื่อสาร อย่าทำประมาณการการเงิน แบบมี bias โลกความจริง
.
25.การใช้เครื่องมือทางการเงิน ก่อนใช้เข้าใจ่สิ่งพวกนี้แค่ไหน ให้คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดให้ได้ก่อน ดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อน
.
26 หลักการหา bog short รู้ธรรมชาติธุรกิจ ดูว่าผู้บริหารเก่งหรือเปล่า นักลงทุนต้องเป็นนักวิจัยด้วยตัวเองด้วย
มีข้อมูลมากพอจะพอจับจุดธุรกิจได้ ประเด็นสำคัญต้องระวังอะไร backtest พร้อมกับคู่แข่งไปหลายๆปี

ข้อคิดการทำการบ้านหุ้น จาก อ .ตี๋ อ .FOLK อ.Mini

รวบรวมความรู้มาให้นะครับ ผมไม่อยากให้ความดีๆหายไป จากที่ K noii เรื่องการทำการบ้านหุ้นไว้เทรดระหว่างวัน ลอง Swing trade ช่วงนี้ก็โดนค่ะ หัวหมุนไปหมด เหมือนหาตัวเองไม่เจอ ต้นปีเหมือนจะพอได้แล้ว มาเจอตลาดช่วงนี้มึนๆ () อ ตี๋ แนะนำ : 1. Day Trade ถ้าเรายังไม่แม่น มันจะเสียมากกว่าได้นะครับ.. พยายามลองงบน้อยๆให้เรามั่นใจและเริ่มจับจังหวะในการหาหุ้น ในการเข้าซื้อ และในการขายนะครับ..​ถ้ามั่นใจแล้วค่อยเพิ่มงบครับ
แต่สุดท้ายผมก็ไม่ค่อยเชียร์ให้เล่น Day นะครับ.. ลองหาหุ้นที่ถือสั้นแล้วได้กำไรสัก 20% จะฟินกว่านะครับ . 2.ช่วงนี้ตลาดยังเล่นได้ดีนะครับ.. ลองปรับดูใหม่นะครับ จังหวะในการเทรดพยายามให้นิ่งขึ้นนะครับ . 3.ส่วนการหาหุ้น เราต้องเริ่มจากตัวเราก่อนครับว่าเราถนัดแบบไหนนะครับ

  • Day : เราต้องดู momentum เป็น / และเฝ้าจอได้ครับ
  • Swing : เราต้องคัดหุ้นเก็บใส่ในลิสท์ และสร้างแผนให้ชัดนะครับ ถ้าหุ้น A มาแบบนี้ จังหวะเข้าซื้อจะเป็นอย่างไร พยายามเน้นหุ้นที่มีสัญญาณกลับตัวนะครับ เราจะได้ไม่ต้องรอนานนะครับ 2-3 วัน หรือ 1 วีคก็ทำกำไรได้นะครับ สุดท้ายและท้ายที่สุด สำคัญสุดคือการทำการบ้านครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมจะเทรดผมจะทำการบ้านแล้วเก็บไว้ในลิสท์น่ะครับ ลองสังเกตครับ ระหว่างวันที่ผมเทรดที่เพื่อนๆเห็นว่าผมไวหรือหาหุ้นเร็วนั้น จริงๆก็ล้วนแต่การทำการบ้านของผมเป็นส่วนใหญ่น่ะครับ และที่ให้เป้าได้เร็วก็เพราะว่าผมทำการบ้านไว้แล้วเช่นกันนะครับ..
    ส่วนหุ้นที่เราอาจจะได้จากเพื่อนๆ หรือ บอทก็เช่นหันนะครับ เราก็ต้องเอามาหยอดในกราฟดูเพื่อรีเช็คจังหวะอีกทีนะครับ เพื่อความชัวร์ของเรานะครับ . 4. ต้องดูกราฟทุกครั้ง เพื่อหาจุดเข้าซื้อที่เราได้เปรียบน่ะครับ นิสัยหุ้นจะมีหลายแบบครับ
    4.1. หุ้นเล่นรอบ : พอหมดรอบราคาก็กลับมายืนที่เดิมให้เราได้เล่นใหม่น่ะครับ

4.2. หุ้น Growth (หุ้นเติบโต) : อันนี้ถ้าเราหาจุดเขาที่ได้เปรียบด้วยแล้วนั่น เราจะรันแบบไม่ต้องกังวลเลยนะครับ ถึงแม้ระหว่างทางเขาจะย่อบ้าง พักบ้างยังไงก็เติบโตะครับ เหมือนกับ FVC วันนี้นะครับ ที่เพื่อนได้มา 1 เด้ง เพราะเรามองเป็นหุ้นเติบโตครับ

4.3. หุ้นคำโต : หุ้นที่เรานิยามขึ้นมา สำหรับ Swing เพื่อให้เราเล่นรันแบบมีเป้าที่ชัดเจน และสร้างกำไรได้มนระยะสั้นน่ะครับ

** สรุปคือ ถ้าเราถนัดเทคนิคอล เราต้องดูกราฟครับ เราถนัดเทคนิคอลน่ะครับก็เลยเชื่อมั่นในกราฟน่ะครับ เพราะกราฟไม่เคยหลอกเราน่ะครับ 😊😊 .

อ FOLK แนะนำ นิสัยหุ้นครับ ผมชอบจดไว้ เล่นตัวที่เรารู้นิสัย จะทำให้แม่นยำมากขึ้น

อ พี่ Mini แนะนำ ไม่ค่อยได้ดู ticker เท่าไหร่ค่ะ ดูนิดหน่อยค่ะ แต่ส่วนมาก หุ้นที่เรียกไปจะเป็นหุ้นที่ทำการบ้านมาค่ะ พอเราทำการบ้านมา เราเอาใส่ ลิสไว้ เวลาหุ้นตัวที่อยุ่ในการบ้านของเรามา บางทีการบ้านที่เราทำไว้ อาจจะไม่มาในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่ามันต้องมา เราก็ถือรอเค้าได้ค่ะ ถ้าทรงกราฟยังดี ยังสวยอยุ่ ก็รันได้คร่า

โลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมด ดู 3 ปีแล้วตอนนี้ดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก

คุณพิชัยมองว่าปีนี้จะเหลืออยู่ประมาณ1500จุด จากที่ตอนแรกมองไว้2,000จุด

คุณพิชัยมองว่าการที่เกิดสงครามขึ้นนั้นเกิดจากความบังเอิญดูเป็นระบบประโยชน์เพื่อดันให้ราคาcommodityนั้นขึ้้นไป

ถ้าค่าเงิน US เเข็งมากๆแล้วค่าเงินเอเซียอ่อนมากๆ แบบที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันจะเกิดสภาพที่เรียกว่าอสังหาบูม investment boom การท่องเที่ยวบูม ใน 5 ปี 10 ปีค่าเงินเยนจะไปถึง 200

มันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆเหมือนกับการที่เราปลดทองคำออกจาก US สมัย 50 ปีก่อน ถ้าหากปราศจากการแข็งค่าของ US โลกจะเดินไปต่อไม่ได้ ดังนั้นหากคนส่วนใหญ่มองว่าDollaจะร่วงอย่างรุนแรง แต่หากดอลล่าเกิดเข้มแข็งขึ้นมาผลประโยชน์จะตกอยู่กับคน 3% แล้วคนส่วนใหญ่ก็มองว่าอยู่ดิจิตอลกลับคริปโตเคอเรนซี่จะมาแทน โลกนี้ก็จะเดินต่อได้ด้วย และสิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจบูมได้แต่เป็นเวลา 2-5 ปีในระยะยาว ส่วนใครที่คิดว่าน้ำมันจะกลับลงไปถูกเหมือนเดิมคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ การที่น้ำมันจะอยู่ต่ำกว่าร้อยจะเป็นเรื่องชั่วคราวส่วน 100-160 จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะยาว.สิ่งที่เราทำได้ก็คือซื้อหุ้นจากบริษัทที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาขึ้นนั่นเองภาพตอนนี้เราเหมือนอยู่ในdead lockไม่สามารถขยับไปไหนเลย เรารู้สึกเหมือนไม่มีทางแก้มาแล้วประมาณ 5 ปีเป็นอย่างน้อย กำลังทางแก้จะไปได้คืนเงิน US จะต้องกลับมาแข็งและตอนนี้มันกำลังกำลังเกิดขึ้นคุณพิชัยมองว่าหุ้นจะไป 2,000 แต่ตอนนี้มีช่วงระหว่างขั้นจังหวะ ด้วยเหตุการพิเศษ ซึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังทุกคนตอนนี้มองดีไปหมดก็อาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้พักฐานบ้าง ระบบประโยชน์ไม่เคยมองว่าเราจะขายที่จุดสูงสุดเราจะขายก่อนจุดสูงสุดเสมอ

ทำไมต้อง 1700 ต้นๆหุ้นถึงลงมา คุณพิชัยอธิบายดังนี้

1 ต่างชาติnet buy 2.SET50 ขึ้น 3.กำไรกำลังจะมาหลัง covid จบ 4.กราฟแสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ทุกคนลืมFEDไปเลยที่จะขึ้นดอกเบี้ยสภาพตลาดจะเปลี่ยนเป็นดีมากๆในทางเดียวกัน พอทุกคนเข้าไปซื้อพร้อมกันหมดตลาดหุ้นปรับตัวลง

ภาพที่ 1 คือถ้าเสร็จลงไปเรื่อยๆเป็นลักษณะ Side Way Down ลงไป 1,500 คุณพิชัยเชื่อว่าอาจจะเจอ Bottom เลยปีนี้

ภาพที่ 2 ถ้าอยู่ดีๆสงครามจบ SETเเข็งแกร่ง พร้อมทั้งขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งผ่อนคลายqt ถ้าเสร็จเรื่องส่งสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะน้อยและช้า การทำqtจะช้า พร้อมทั้งเซตวิ่งไป1700 บวก ความกังวลสงครามก็หายไป ถ้าหากเกิดภาพนี้พิชัยมองว่าส่วนตัวจะลดพอร์ตมากกว่าครึ่ง การปรับฐานก็จะกินเวลาไปถึงปลายปีหน้าได้เลย แต่ก็มองว่าเสร็จไม่น่าจะลงไปลึกกว่าเดิม ดังนั้นตอนนี้คุณพิชัยก็รอดูอยู่ว่าจะออกไปทางไหน แต่คุณพิชัยมองว่าช่วงนี้เราไม่ควรมีหุ้นเต็มพอทแล้ว ถ้าคุณรู้จักตัวเองก่อนคุณถึงจะประเมินสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง ด้วยการมองแบบคนนอกมองเข้ามาแต่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่มอง

คุณพิชัยมองว่า หุ้นรายกลุ่มอย่างไร

1.กลุ่มโรงไฟฟ้า อันตรายสุดโดยเฉพาะถ้าไม่ได้ทำ EV ทำในปีนี้และปีหน้า เพราะคนสนใจกลุ่มนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็ได้ลดลงไปบ้างแล้ว

กลุ่มที่ 2 คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คุณวิชัยมองว่ายังไม่ดี

กลุ่มที่ 3 คือปิโตรโรงกลั่นอันนี้มีลุ้น

กลุ่มที่ 4 คือกลุ่มแบงค์คุณวิชัยมองว่าเพิ่งขายไป คุณพิชัยบอกว่าได้ขึ้นมาเยอะแล้วคนก็มองว่าดีกันหมด กลุ่มหลักทรัพย์ก็ได้ขายออกลบไปหมดแล้ว

กลุ่มเปิดเมืองก็ได้ขึ้นมาเยอะแล้วก็เลยไม่แนะนำ.ให้ดูรายบริษัทแทน มองว่ายังได้ คือได้คือ อสังหาริมทรัพย์สื่อสาร สินค้าเกษตร ก่อสร้าง เดินเรือ แล้วก็หุ้นเล็กอีกจำนวนหนึ่ง ในช่วงที่ตลาดไม่เล่นหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กก็จะกลับมาได้ โดยเฉพาะเป็นหุ้นเก็บตกหรือหลงลืม

ส่วนใหญ่ที่ทำให้พี่ทางคือคนส่วนใหญ่วิเคราะห์แบบง่ายเกินไป มองไปทางเดียวหมดแบบง่ายเกินไป คน 3 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่คนวิเคราะห์ ให้เราจินตนาการว่าคน 3% จะทำยังไงให้เงินของเขาที่มีจำนวนมาก Matching กับเงินคนส่วนใหญ่.ถ้าคนส่วนใหญ่ดันไปทางไหนเงินใน 3% มันก็จะมาประมาณนั้นพอดีกัน แต่โดยหลักการคือเงินจะเคลื่อนไปในทางที่คน 3% นั้นกำไรตลอด Warren buffetก็ใช้แนวนี้แต่ว่าจะเล่นแต่หน้าซื้อเท่านั้น

ถ้าเรากลัวเราไม่อยากซื้อฝืนใจซื้อเรารอได้อันนี้ถูก แต่ถ้าชัดมากๆก็ไม่ควรซื้อ ภาพที่มองจะต้องชัดแล้วนิ่งเพียงพอ คุณวิชัยไม่ได้มองว่ามีเงินต่างชาติจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาเพราะที่จริงมองไปก็ไม่เกิดประโยชน์การมองnet buy net sell ไม่ช่วย ไม่ใช่มองที่คนวิเคราะห์ว่าวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไปทางไหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนส่วนน้อยกำไรถึงแม้จะไม่ใช่เหตุผลที่ถูกก็ตาม ระบบเล่นกับข้อเท็จจริงที่อัดแน่น ถ้าไม่ได้ลดพอทไปแล้วในช่วงแรก ในช่วงตลาดSideway เวลานี้ คุณพิชัยมองว่าให้รอดูอย่างเดียว

วิธีการมองแบบกราฟซ้อนกราฟ อันแรกคือเข้าไปซื้อในจุดที่กราฟ Cut loss ส่วนการที่เราซื้อแท่งแรกที่เบรคเขียว ทุกคนก็มองเห็นแบบนั้นเช่นกัน คุณพิชัยมองว่าเราควรหาแท่งเขียวขี้เบลอคือทุกคนมองว่าเดี๋ยวก็ลงต่อ แท่งเขียวที่ชัดแล้ววิ่ง มันจะต้องมาจากแท่งเขียวขี้ชัดจากไม่ชัดเช่นมีการหลอกมาแล้วหลายครั้งนั้นเอง พอเราโดนหลอกหลายครั้งเราจะเข็ดกับความชัดของมัน แล้วมันก็จะไป เราต้องมองความคิดของคนแบบเชื่อมโยงกันถ้าเราคิดว่าอะไรไม่เคยเกิดแล้วเข้าไปลงทุนแบบไม่มีลิมิตมีคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นการลงทุนที่ดีและปลอดภัยอย่างเช่นช่วง subprime ในUSA หรือเป็นช่วงวิกฤตต้มยํากุ้งปี 40 ก็ไม่มีใครเชื่อว่าค่าเงินบาทจะต้องถูกลอยตัว เขาเรียกว่ามันง่ายและไม่มีความเสี่ยงจึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนอย่างเดียวกันทั้งหมด มันขาดความเฉลียวใจ

คุณพิชัยมองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยก็ได้ คุณพิชัยให้เวลาดู 3 ปีแล้วตอนนี้เองก็เป็นเหตุผลเดียวดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก ส่วนเรื่อง comoodityกับเงินเฟ้อจะไม่ลงง่ายๆนับจากนี้ เราต้องรู้จักตัวเองให้ได้ไม่งั้นเราก็ไม่รู้จักคนอื่นจะมองสิ่งรอบตัวได้ไม่ถูกต้องเหมือนกระบอกไฟฉายที่วางเอียงตัวกระบอกไฟฉายเองก็จะเห็นลำแสงเป็นเส้นตรง

เรื่องหุ้นก็จะเย็นออกด้านข้างให้เราดูกันต่อไปภาพระยะยาวด้านบวกของหุ้นมีมากกว่าด้านลบ คุณพิชัยหวังว่าจะไม่เกิดภาพที่ดีมากจนเกินไปในปีนี้ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นนั้นจบขาลงได้เร็ว คุณพิชัยมองว่าตลาดHKเป็นตลาดที่น่ากังวลที่สุด หุ้นเล็กรายตัวยังไปได้ระบบผลประโยชน์ตอนนี้ก็มีคนน่าจะรู้มากขึ้นแต่มันไม่ใช่แบบนั้นทุกอย่างจะเกิดในสิ่งที่ไม่เคยเกิดเสมอเราไม่ต้องเดาแต่เฝ้าดูไปจากคนที่วิเคราะห์ หลักการนั้นมันไม่ยากมันอยู่ที่การตีความ ต้องพยายามมองให้กว้างเผื่อไว้ เพราะมันจะต้องมีการคาดเคลื่อนเสมอ 10 20% เป็นเรื่องธรรมดา หุ้นบางประเภทเหวี่ยงแรงแต่เวลาขึ้นก็ขึ้นแรงเหมือนกัน

เลือกหุ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

เรื่องอัตราดอกเบี้ยถามว่ามีผลกับการลงทุนใหม่ต้องตอบว่ามี ถ้าเป็นนักลงทุนแนว vi จะเจอในเรื่องของการเงิน หรือ Income statement งบที่ง่ายที่สุดก็คืองบกำไรขาดทุน ดังนั้นในงบกำไรขาดทุนหากดอกเบี้ยขึ้นมันก็จะเป็นผลลบอย่างแน่นอนเพราะมันมีค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง มันคือต้นทุนทำธุรกิจ แต่ในอีกมุมนึงหากเรามานั่งคิดก็จะเจอว่ามีธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็คือธุรกิจธนาคารนั่นเอง แล้วในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าหากดอกเบี้ยสูงขึ้นการกู้ก็ย่อมยากขึ้น

ส่วนในมุมของหุ้นนั้นจะมีเรื่องในเชิงของการทำ Valuation โดยเฉพาะในการทำ dcf คือเราซื้อกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัท ดังนั้นหุ้นที่เรามองอนาคตไปไกลๆเช่นบริษัทเทคโนโลยีที่เงินสดหรือกำไรยังมาไม่เยอะแต่มีดอกเบี้ยจ่ายในอนาคตด้วยทำให้ดอกเบี้ยขึ้นจึงเป็นผลลบต่อกลุ่มนี้ ในอนาคตราคาจึงลดลงมา กองรีทก็เช่นกันเพราะมีต้นทุนเป้นดอกเบี้ยทำให้ได้เงินปันผลลดลง

อเมริกาตอนนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากไม่สามารถที่จะลดดอกเบี้ยและอาจqeได้อีกแล้ว ปี 65 น่าจะเป็นปีที่ลดดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งดอกเบี้ยของอเมริกาอยู่ต่ำมาหลายปีแล้ว ในช่วง 2018 เฟสได้ขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้งบวกกับปัจจัยภายนอกก็คือ Trade War ตลาดหุ้นก็ได้ปรับลงทั่วโลก ซึ่งมันบ่งบอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยนั้นกระทบตลาดแน่นอนแต่รอบที่แล้วกับรอบนี้ก็อาจจะไม่เหมือนกันเพราะว่ารอบนี้ตลาดได้รับรู้ไปก่อนแล้วว่าจะขึ้นเยอะ นักลงทุนมีการคาดหมายเอาไว้เยอะแล้ว ตลาดก็อาจจะไม่ตกใจมากเพราะว่าได้รับรู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง

คุณนิ้วโป้งว่าตอนนี้ตลาดกำลังเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ส่งประเทศที่พัฒนาแล้วเขาฟื้นก่อนเราทำให้เงินเฟ้อตอนนี้ต้องเร่งสกัด เฃินต่างชาติไม่ได้ไหลเข้าบ้านเรามา 7-8 ปีแล้วซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้ามาค่อนข้างเยอะในช่วงต้น จะเป็นหุ้นตัวใหญ่ เช่นพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีกเป็นต้น ต่างชาติซื้อสามัญประจำประเทศ พลังงานอาจจะมีปัจจัยภายนอกเกี่ยวข้องบ้าง ค้าปลีกบางตัวเริ่มมาเงินจะค่อยๆหมุนไป ส่วน aot ก็ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานยังไม่ค่อยได้ในเชิงการประเมินมูลค่า

มุมมองของกองทุนที่ขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของปีนี้คุณนิ้วโป้งมองว่าเป็นการขายเพื่อรองรับ ltf ที่ไถ่ถอน เราจะเห็นว่าที่ผ่านมากองทุนไม่ค่อยออกกองในประเทศไทยเลย จะไปออกต่างประเทศเป็นหลักดังนั้นหากกองทุนเห็นว่าประเทศไทยนั้นดีขึ้น ก็จะเริ่มเปิดกองมากขึ้นและเงินจากส่วนนี้ก็จะดันดัชนีต่อไป เหมือนปี 2012-2013 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปมาก

คุณนิ้วโป้งพูดว่าดีใจที่เห็นต่างชาติกับเข้ามาซื้อเพราะว่าเราอาจจะยังไม่ตกแผนที่ของการลงทุนเป็นไปได้ไหมที่ต่างชาติจะซื้อก่อนแล้วหลังจากแรงซื้อแผ่นกองทุนจะตามกลับเข้ามา ต่างชาติโดยส่วนใหญ่เวลาเข้าซื้อเขาจะเข้าซื้อตาม policy อย่างเช่นปีที่แล้ว Global policy บอกว่าให้มีหุ้นเอเชียอยู่จำนวนหนึ่งแต่การที่เขาไม่ได้เข้าจีนหุ้นอินเดียจึงขึ้นเป็นอย่างมากแต่ถ้า policy ให้ออกไม่ว่าหุ้นจะถูกยังไงเขาก็จะออก เช่นธนาคารรอบที่ผ่านมาแม้ว่า Price per Book จะอยู่ที่ 0.5 เขาก็ขาย เราต้องไม่ลืมว่าเราโดนล็อคดาวน์โควิดไปนานทำให้กำไรเก่าอาจจะไม่แฟร์เราต้องดูล่วงหน้า

คุณนิ้วโป่งให้แนวคิดขั้นตอนการลงทุนหลังโควิตดังนี้1 หุ้นต้องตาม Mega เทรน2 อยู่ในอุตสาหกรรมขาขึ้น3 กิจการมีคุณภาพที่ดี เช่นกิจการยังขยายอยู่ ผู้บริหารมีความสามารถ มีการออกNew product New Service ขยายสาขา4 งบการเงิน5 การวัดมูลค่าหุ้นถูกแพง

นับจากนี้หุ้นจะเป็น Selective Buy มากขึ้นคือมองจาก Bottom up Selective Buy เราจะไม่ซื้อหุ้นทั้งอุตสาหกรรมเราจะซื้อบางตัว เช่น เรามองว่าโรงแรมจะกลับมาดีแต่เราก็ต้องเลือกโรงแรมที่งบการเงินดีไม่ใช่ซื้อทุกตัวได้ พยายามซื้อตัวที่ไม่แพงหรือ อีกอย่าง คือ in Organic Event ในรอบที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีหุ้นประเภทนี้เยอะมาก เช่นมี infrastructure ใหม่ SCBX เป็นต้น โดยการใส่ IDEA เข้าไปราคาก็แซงได้ในทุกแบงค์ โดยที่ไม่ต้องรอฟันโฟลเลย หรือมีการควบรวมก็ได้ Unlock Value นักลงทุนจะไม่รู้เลยถ้าไม่ได้ตาม ราคาจะไปก่อนโดยไม่ต้องประเมินมูลค่าเลยคุณนิ้วโป้งแนะนำให้ลองดูEarning yield Gap = Earning- Bond yield (10Y)

โดยการเอาPE เป็นส่วนกลับ เช่นตลาดหุ้นไทยมี PE 20 เท่าดังนั้นโสดกับเท่ากับ 1 ต่อ 20 คือ 0.5 หรือ 5% นั่นเอง แล้วนำมาลบด้วยbond Y10 ปีของประเทศไทยโดยหาข้อมูลจาก CNBC เป็นต้นจากข้อมูลคือ 2% ดังนั้นลบกันคือ 3 เปอร์เซ็นต์คือผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยที่สำคัญ PE ของไทยเป็นพี่ย้อนหลังไม่ใช่PEอนาคต ดังนั้นผู้ที่ดูแพงจะกลายเป็นดูไม่แพงข้อดีคือประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีแต่จะเป็นหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยวเยอะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดนี้นับจากนี้ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นก็ตาม และหลายบริษัทในช่วงที่โควิดระบาดก็ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรลดต้นทุนกันไปได้แล้วพอสมควร มีการทำให้ต้นทุนตัวเองดีขึ้นดังนั้นบริษัทพรุ่งนี้หลัง covid จะอยู่บนต้นทุนแบบใหม่ เป็นการประหยัดต้นทุนแบบถาวร

หลักการของ vi ในการซื้อก็คือ GOOD STOCK AT GOOD PRICE

1.เติบโต

2.แข็งแกร่ง

3.ราคาถูกไม่ว่าดัชนีจะสูงแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หาได้คือลงทุนได้

ในทางตรงกันข้ามหากดัชนีลงมามาก แต่เราหาหุ้นGOOD STOCK AT GOOD PRICE ไม่ได้เลยเราก็จะซื้อหุ้นไม่ได้ เราก็จะถือเงินสดเวลาเราซื้อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ของหุ้นไทยจะมาเป็นข้อ 2 กับ 3 ก่อน

ส่วนการขาย 1 ขายเมื่อราคาแพง 2 ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน 3 ขายเมื่อเจอตัวใหม่ที่ดีกว่า.คุณนิวโป้งมองว่าคุณโป้งจะเลือก Theme recoveryธนาคาร ขนส่งทางราง สื่อนอกบ้าน สถานีบริการน้ำมัน ค้าปลีก เช่น aot อาจจะเป็นGOOD STOCK แต่อาจจะไม่ GOOD PRICE ก็ได้เพระาราคาได้ขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับอนาคต 1-2 ปี

คุณนิ้วโป้งให้ลองจินตนาการว่าหากปีนี้เป็นปี End เกมของ covid จริงๆเราต้องไม่ลืมว่าแม้กระทั่งเราเองหรือประเทศคู่ค้าของเราตอนนี้ก็ยังปิดประเทศอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากปลายปีนี้จีนประกาศเปิดประเทศขึ้นมา ให้นักท่องเที่ยวออกมาเที่ยวได้ ใครน่าจะได้ประโยชน์ นักธุรกิจพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมีความพร้อม ในต่างประเทศเองเช่นยุโรปเงินเฟ้อมาทำให้ที่ดินเขาก็ขึ้นมากดังนั้นประเทศไทยพวกนิคมต่างๆมีของเก่าเป็นจำนวนมากจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ จะถามว่าสร้างใหม่ได้ไหมใช่สร้างใหม่ได้แต่ทั้งต้นทุนและเวลานั้นสูงขึ้น

พี่นิ้วโป้งแนะนำว่าหุ้นที่ควรออกจากพอร์ตคือหุ้นที่แพงเกินไป แต่พี่นิ้วโป้งบอกว่าพี่โป้งจะซื้อแต่Good Stockเสมอ ดังนั้น เราจะขายเพราะไม่ Good Price นั้นเอง ให้มองว่าบ้านเรายังไม่เกิด Event ของการท่องเที่ยวได้เลยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเขาเกิดไปหมดแล้วดังนั้นหลังจากนี้หากวันนึงทุกอย่างเปิดขึ้นมาเราจะจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่ามันจะได้ประโยชน์เยอะขนาดไหน อยากให้นักลงทุนมีความหวัง ถ้าเรามีภาพอย่างนั้นในใจเราจะมองว่ามีผู้ลงทุนได้อีกมากมาย


พี่นิ้วโป้งมองว่าหุ่นที่ดี จะสร้างผลกำไรให้ในระยะยาวดังนั้นปัจจัยลบต่างๆให้มองว่าเป็นโอกาสในการหาหุ้นที่มีทั้งคุณภาพดีและราคาดีไปด้วยกัน นั้นเอง

X