เรื่องอัตราดอกเบี้ยถามว่ามีผลกับการลงทุนใหม่ต้องตอบว่ามี ถ้าเป็นนักลงทุนแนว vi จะเจอในเรื่องของการเงิน หรือ Income statement งบที่ง่ายที่สุดก็คืองบกำไรขาดทุน ดังนั้นในงบกำไรขาดทุนหากดอกเบี้ยขึ้นมันก็จะเป็นผลลบอย่างแน่นอนเพราะมันมีค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง มันคือต้นทุนทำธุรกิจ แต่ในอีกมุมนึงหากเรามานั่งคิดก็จะเจอว่ามีธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็คือธุรกิจธนาคารนั่นเอง แล้วในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าหากดอกเบี้ยสูงขึ้นการกู้ก็ย่อมยากขึ้น
ส่วนในมุมของหุ้นนั้นจะมีเรื่องในเชิงของการทำ Valuation โดยเฉพาะในการทำ dcf คือเราซื้อกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัท ดังนั้นหุ้นที่เรามองอนาคตไปไกลๆเช่นบริษัทเทคโนโลยีที่เงินสดหรือกำไรยังมาไม่เยอะแต่มีดอกเบี้ยจ่ายในอนาคตด้วยทำให้ดอกเบี้ยขึ้นจึงเป็นผลลบต่อกลุ่มนี้ ในอนาคตราคาจึงลดลงมา กองรีทก็เช่นกันเพราะมีต้นทุนเป้นดอกเบี้ยทำให้ได้เงินปันผลลดลง
อเมริกาตอนนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากไม่สามารถที่จะลดดอกเบี้ยและอาจqeได้อีกแล้ว ปี 65 น่าจะเป็นปีที่ลดดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งดอกเบี้ยของอเมริกาอยู่ต่ำมาหลายปีแล้ว ในช่วง 2018 เฟสได้ขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้งบวกกับปัจจัยภายนอกก็คือ Trade War ตลาดหุ้นก็ได้ปรับลงทั่วโลก ซึ่งมันบ่งบอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยนั้นกระทบตลาดแน่นอนแต่รอบที่แล้วกับรอบนี้ก็อาจจะไม่เหมือนกันเพราะว่ารอบนี้ตลาดได้รับรู้ไปก่อนแล้วว่าจะขึ้นเยอะ นักลงทุนมีการคาดหมายเอาไว้เยอะแล้ว ตลาดก็อาจจะไม่ตกใจมากเพราะว่าได้รับรู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง
คุณนิ้วโป้งว่าตอนนี้ตลาดกำลังเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ส่งประเทศที่พัฒนาแล้วเขาฟื้นก่อนเราทำให้เงินเฟ้อตอนนี้ต้องเร่งสกัด เฃินต่างชาติไม่ได้ไหลเข้าบ้านเรามา 7-8 ปีแล้วซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้ามาค่อนข้างเยอะในช่วงต้น จะเป็นหุ้นตัวใหญ่ เช่นพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีกเป็นต้น ต่างชาติซื้อสามัญประจำประเทศ พลังงานอาจจะมีปัจจัยภายนอกเกี่ยวข้องบ้าง ค้าปลีกบางตัวเริ่มมาเงินจะค่อยๆหมุนไป ส่วน aot ก็ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานยังไม่ค่อยได้ในเชิงการประเมินมูลค่า
มุมมองของกองทุนที่ขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของปีนี้คุณนิ้วโป้งมองว่าเป็นการขายเพื่อรองรับ ltf ที่ไถ่ถอน เราจะเห็นว่าที่ผ่านมากองทุนไม่ค่อยออกกองในประเทศไทยเลย จะไปออกต่างประเทศเป็นหลักดังนั้นหากกองทุนเห็นว่าประเทศไทยนั้นดีขึ้น ก็จะเริ่มเปิดกองมากขึ้นและเงินจากส่วนนี้ก็จะดันดัชนีต่อไป เหมือนปี 2012-2013 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปมาก
คุณนิ้วโป้งพูดว่าดีใจที่เห็นต่างชาติกับเข้ามาซื้อเพราะว่าเราอาจจะยังไม่ตกแผนที่ของการลงทุนเป็นไปได้ไหมที่ต่างชาติจะซื้อก่อนแล้วหลังจากแรงซื้อแผ่นกองทุนจะตามกลับเข้ามา ต่างชาติโดยส่วนใหญ่เวลาเข้าซื้อเขาจะเข้าซื้อตาม policy อย่างเช่นปีที่แล้ว Global policy บอกว่าให้มีหุ้นเอเชียอยู่จำนวนหนึ่งแต่การที่เขาไม่ได้เข้าจีนหุ้นอินเดียจึงขึ้นเป็นอย่างมากแต่ถ้า policy ให้ออกไม่ว่าหุ้นจะถูกยังไงเขาก็จะออก เช่นธนาคารรอบที่ผ่านมาแม้ว่า Price per Book จะอยู่ที่ 0.5 เขาก็ขาย เราต้องไม่ลืมว่าเราโดนล็อคดาวน์โควิดไปนานทำให้กำไรเก่าอาจจะไม่แฟร์เราต้องดูล่วงหน้า
คุณนิ้วโป่งให้แนวคิดขั้นตอนการลงทุนหลังโควิตดังนี้1 หุ้นต้องตาม Mega เทรน2 อยู่ในอุตสาหกรรมขาขึ้น3 กิจการมีคุณภาพที่ดี เช่นกิจการยังขยายอยู่ ผู้บริหารมีความสามารถ มีการออกNew product New Service ขยายสาขา4 งบการเงิน5 การวัดมูลค่าหุ้นถูกแพง
นับจากนี้หุ้นจะเป็น Selective Buy มากขึ้นคือมองจาก Bottom up Selective Buy เราจะไม่ซื้อหุ้นทั้งอุตสาหกรรมเราจะซื้อบางตัว เช่น เรามองว่าโรงแรมจะกลับมาดีแต่เราก็ต้องเลือกโรงแรมที่งบการเงินดีไม่ใช่ซื้อทุกตัวได้ พยายามซื้อตัวที่ไม่แพงหรือ อีกอย่าง คือ in Organic Event ในรอบที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีหุ้นประเภทนี้เยอะมาก เช่นมี infrastructure ใหม่ SCBX เป็นต้น โดยการใส่ IDEA เข้าไปราคาก็แซงได้ในทุกแบงค์ โดยที่ไม่ต้องรอฟันโฟลเลย หรือมีการควบรวมก็ได้ Unlock Value นักลงทุนจะไม่รู้เลยถ้าไม่ได้ตาม ราคาจะไปก่อนโดยไม่ต้องประเมินมูลค่าเลยคุณนิ้วโป้งแนะนำให้ลองดูEarning yield Gap = Earning- Bond yield (10Y)
โดยการเอาPE เป็นส่วนกลับ เช่นตลาดหุ้นไทยมี PE 20 เท่าดังนั้นโสดกับเท่ากับ 1 ต่อ 20 คือ 0.5 หรือ 5% นั่นเอง แล้วนำมาลบด้วยbond Y10 ปีของประเทศไทยโดยหาข้อมูลจาก CNBC เป็นต้นจากข้อมูลคือ 2% ดังนั้นลบกันคือ 3 เปอร์เซ็นต์คือผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยที่สำคัญ PE ของไทยเป็นพี่ย้อนหลังไม่ใช่PEอนาคต ดังนั้นผู้ที่ดูแพงจะกลายเป็นดูไม่แพงข้อดีคือประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีแต่จะเป็นหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยวเยอะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดนี้นับจากนี้ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นก็ตาม และหลายบริษัทในช่วงที่โควิดระบาดก็ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรลดต้นทุนกันไปได้แล้วพอสมควร มีการทำให้ต้นทุนตัวเองดีขึ้นดังนั้นบริษัทพรุ่งนี้หลัง covid จะอยู่บนต้นทุนแบบใหม่ เป็นการประหยัดต้นทุนแบบถาวร
หลักการของ vi ในการซื้อก็คือ GOOD STOCK AT GOOD PRICE
1.เติบโต
2.แข็งแกร่ง
3.ราคาถูกไม่ว่าดัชนีจะสูงแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หาได้คือลงทุนได้
ในทางตรงกันข้ามหากดัชนีลงมามาก แต่เราหาหุ้นGOOD STOCK AT GOOD PRICE ไม่ได้เลยเราก็จะซื้อหุ้นไม่ได้ เราก็จะถือเงินสดเวลาเราซื้อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ของหุ้นไทยจะมาเป็นข้อ 2 กับ 3 ก่อน
ส่วนการขาย 1 ขายเมื่อราคาแพง 2 ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน 3 ขายเมื่อเจอตัวใหม่ที่ดีกว่า.คุณนิวโป้งมองว่าคุณโป้งจะเลือก Theme recoveryธนาคาร ขนส่งทางราง สื่อนอกบ้าน สถานีบริการน้ำมัน ค้าปลีก เช่น aot อาจจะเป็นGOOD STOCK แต่อาจจะไม่ GOOD PRICE ก็ได้เพระาราคาได้ขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับอนาคต 1-2 ปี
คุณนิ้วโป้งให้ลองจินตนาการว่าหากปีนี้เป็นปี End เกมของ covid จริงๆเราต้องไม่ลืมว่าแม้กระทั่งเราเองหรือประเทศคู่ค้าของเราตอนนี้ก็ยังปิดประเทศอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากปลายปีนี้จีนประกาศเปิดประเทศขึ้นมา ให้นักท่องเที่ยวออกมาเที่ยวได้ ใครน่าจะได้ประโยชน์ นักธุรกิจพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมีความพร้อม ในต่างประเทศเองเช่นยุโรปเงินเฟ้อมาทำให้ที่ดินเขาก็ขึ้นมากดังนั้นประเทศไทยพวกนิคมต่างๆมีของเก่าเป็นจำนวนมากจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ จะถามว่าสร้างใหม่ได้ไหมใช่สร้างใหม่ได้แต่ทั้งต้นทุนและเวลานั้นสูงขึ้น
พี่นิ้วโป้งแนะนำว่าหุ้นที่ควรออกจากพอร์ตคือหุ้นที่แพงเกินไป แต่พี่นิ้วโป้งบอกว่าพี่โป้งจะซื้อแต่Good Stockเสมอ ดังนั้น เราจะขายเพราะไม่ Good Price นั้นเอง ให้มองว่าบ้านเรายังไม่เกิด Event ของการท่องเที่ยวได้เลยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเขาเกิดไปหมดแล้วดังนั้นหลังจากนี้หากวันนึงทุกอย่างเปิดขึ้นมาเราจะจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่ามันจะได้ประโยชน์เยอะขนาดไหน อยากให้นักลงทุนมีความหวัง ถ้าเรามีภาพอย่างนั้นในใจเราจะมองว่ามีผู้ลงทุนได้อีกมากมาย
พี่นิ้วโป้งมองว่าหุ่นที่ดี จะสร้างผลกำไรให้ในระยะยาวดังนั้นปัจจัยลบต่างๆให้มองว่าเป็นโอกาสในการหาหุ้นที่มีทั้งคุณภาพดีและราคาดีไปด้วยกัน นั้นเอง