กฎ 5 ข้อในการลงทุนยามวิกฤต
การที่ตลาดหุ้นไทยลดลงประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นช่วงที่น่าสนใจ แล้วหลายคนคงจะทราบไว้แล้วว่าการเกิดวิกฤตทุกครั้งนั้นก็เป็นโอกาสเสมอเช่นกัน เราจะมาคุยกันว่าแล้วอะไรที่เป็นปัจจัยในการที่เราจะเลือกว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือยัง
.
ข้อที่ 1 เราจะเริ่มลงทุนเมื่อไหร่
คือ ณ เวลานั้นควรจะมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง ยกตัวอย่างนะครับ เราสามารถเอาตัวปันผล โดยสามารถเอาราคาผลตอบแทนปันผลที่เราคาดหวังไว้มาลบกับเงินฝากหรือผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นกับตราสารหนี้นั้นจะมีความต่างกันอยู่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ดังนั้นถ้าต่ำกว่า 2% คนก็อาจจะไม่เลือกลงทุนในตราสารหนี้มากกว่าเพราะว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ถ้าเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆคนก็จะสนใจหุ้นมากกว่าเนื่องจากอาจยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า
.
ข้อที่ 2 ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องและไม่หมดอายุ
เพราะเราต้องมองว่าถ้าอยู่ในวิกฤตเราต้องเอาไว้แลกเปลี่ยนเพื่อใช้จ่าย เพราะว่าบางครั้งวิกฤตก็อาจจะยาวนาน
.
ข้อที่ 3 ควรจะกระจายสินทรัพย์การลงทุนอย่างเหมาะสม
เพราะในช่วงวิกฤต มักจะมีผลกระทบไปในหลาย Sector อยู่ในหลายธุรกิจ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะทำกับกันหลังจากผ่านพ้นวิกฤตไปแล้วได้จากธุรกิจก็ดีขึ้นไม่พร้อมกัน ในหุ้นกระจายในหลายอุตสาหกรรมหรืออาจจะหุ้นหลายตัวหน่อย
.
ข้อที่ 4 ควรจะเลือกสินทรัพย์ที่มีปันผล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว
พอดีช่วงวิกฤตนั้นกระแสเงินสดจากการลงทุน ก็ควรจะต้องมีด้วย เพราะจะได้มีกระเเสเงินสดนำมาใช้จ่ายในช่วงนี้ เช่นกัน
.
ข้อที่ 5 ควรจะต้องบริหารความเสี่ยงของราคาด้วย
เราไม่สามารถรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดต่ำสุดของราคา แต่เราสามารถใช้วิธีการ DCA เป็นการซื้อเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลา เพื่อเป็นการลดความผันผวนของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
.
ในอดีตที่ผ่านมาวิกฤตละครั้งใช้เวลามากน้อยและการลงเป็น%นั้นไม่เท่ากัน ดังนั้นการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญและมองเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในช่วงวิกฤตนั้นเอง