หุ้นปันผล เป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงโดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน เพราะถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแต่ก็ยังได้รับเงินปันผล
ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุนได้ อีกทั้งบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาได้นั้น ธุรกิจต้องมีกำไร การลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง
วันนี้เลยหยิบความรู้การกรองหุ้นปันผลีมาฝากกันนะครับ6 ตัวกรองคัดหุ้นปันผลดี ดังนี้
1. ต้องเป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เป็นเงินสด (Cash Dividend) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี ให้ครอบคลุมช่วงที่เกินภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่น ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงหลังจุดเริ่มต้นของ Hamburger Crisis – 2558) การกำหนดเงื่อนไขนี้ ก็เพื่อจะคัดกรองหาบริษัทที่มีทั้งความตั้งใจหรือมีนโยบายชัดเจนที่จะจ่ายเงินปันผล และในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในฐานะที่มีความพร้อมในการที่จะจ่ายเงินปันผลอีกด้วย ทั้งนี้ สามารถที่จะวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้
2.) กำไรสะสม บริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องต้องมีกำไรสะสมที่มากเพียงพอ เพราะกฎหมายกำหนดให้จ่ายเงินปันผลได้เมื่อกิจการมีกำไรสะสมเป็นบวกเท่านั้น ดังนั้น หากติดลบกลายเป็นขาดทุนสะสม หรือ บวกน้อย ก็จะมีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลได้น้อย หรืออาจจ่ายได้ไม่ต่อเนื่อง
3.) กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operation, CFO) ถือเป็นรายการหลักที่วัดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ เพราะถึงแม้กิจการจะมีกำไรสุทธิ แต่ CFO ติดลบ ก็จะให้มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ยิ่งไปกว่านั้น ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ากิจการจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมมาใช้หมุนเวียน ซึ่งหากไม่มีเงินทุนสำรอง ก็อาจต้องก่อหนี้เพิ่ม ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนมีแนวโน้มสูงขึ้น ถือเป็นอุปสรรคในการจ่ายเงินปันผลที่สำคัญ
4.) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) โดยหลักการบัญชี การจ่ายเงินปันผล เป็นกลไกที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ (Net Equity) ลดต่ำลง ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้อัตราส่วน Debt to Equity ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กิจการที่มีอัตราส่วน Debt to Equity สูงอยู่แล้ว มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ การที่จะบอกว่า Debt to Equity ระดับใดสูง ควรทำการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเป็นเกณฑ์ เช่น ไม่เกิน 2 เท่า
5) อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อาจถือได้ว่าเป็นการวัดความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ บริษัทที่อยู่ในช่วงที่มีการเติบโตสูงมักจะมี Dividend Payout Ratio ที่ต่ำ เช่น ประมาณ 30% ของกำไร เนื่องจากผู้บริหารมีความเชื่อว่า หากเก็บเงินที่จะจ่ายเงินปันผลไว้ลงทุนขยายกิจการต่อ ก็น่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าการนำเงินมาจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็น Growth Stock นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ควรคาดหวังผลตอบแทนจาก Capital Gain มากกว่า Dividend ในทางตรงข้ามบริษัทที่ได้ผ่านช่วงของการลงทุนขนาดใหญ่มาแล้ว หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนลดลง อาจสามารถกำหนด Dividend Payout Ratio ที่สูงขึ้นได้ โดยอาจกำหนดที่ระดับสูงกว่า 50% ของกำไรสุทธิ หรือบางบริษัทอาจจ่ายถึง 100% ของกำไรสุทธิ (มีกำไรสุทธิเท่าไรในแต่ละปี นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลทั้งหมด) ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนการลงทุนมาจาก Dividend Yield ควรที่จะเลือกลงทุนในหุ้นประเภทนี้
6. ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี ทั้งนี้ตัวเลข Dividend Yield ที่กำหนดเป็นอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องการเข้าไปลงทุน ออกมาตามที่คาด แต่การที่จะกำหนดเท่าไรขึ้นอยู่กับความพอใจ และ ขีดความสามารถในการรับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ อย่างไรก็ตามหากตั้งเกณฑ์คัดกรองหุ้นโดยกำหนด Dividend Yield ที่สูงจนเกินไป ก็อาจมีหุ้นที่เป็นตัวเลือกน้อยลง และที่สำคัญ เงินปันผลที่ใช้นำมากำหนดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ต้องเป็นเงินปันผลที่คาดการณ์ว่าจะได้รับในอนาคต ไม่ใช่เงินปันผลที่จ่ายมาแล้วในอดีต
หากสนใจเข้ารวมห้องLINE เพื่อพูดคุยเรื่องกองทุน แลกเปลี่ยนความรู้ https://line.me/ti/g2/qBJJsQlZNF2Qc2-tuC6MfOLftB1Iy8dXKszLsg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
.
Cr Set.or.th, setinvestnow , คุณ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม