เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว โดย เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์

[ เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ] ได้เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว กว่าจะมาเป็นนักลงทุนที่ประสอบความสำเร็จให้เราฟังครับ

เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านช่วงนั้นโดนรับน้องตลาดลงแรงเพราะ ซับไพร์ม ครั้งสุดท้ายดูพอร์ตมันมันลงไปมากกว่าครึ่งล้าน 2 ล้านกว่าๆประมาณนี้นะครับ ภรรยาก็รู้ทุกคนมันก็เริ่มออกข่าวใหญ่ ทุกคนพูดกันจะเลิกไหมทำไมถึงไม่เลิกมันก็พิสูจน์แล้วนี่ว่าเราทำไม่ได้เห็นไหมล่ะก็ให้ลองแล้วไม่ใช่ว่าไม่ให้ลอง

” แฟนถามแล้วลูกจะเรียนต่อยังไงเคยคิดถึงอนาคตลูกไหม” ถ้าเราเล่นอย่างนี้แล้วมันลงไปเรื่อยๆจนเหลือศูนย์อ่ะจะทำยังไง

ความเชื่อมั่นในตอนแรกที่เล่น มันขึ้นไปเกินกว่าความรู้เยอะมามันงงแล้วมันสับสนแล้วก็คิดว่าจะล้างพอร์ตแล้วเลิกเลยจะเหลือเงิน 6 ล้าน 7 ล้านก็ช่างมันเถอะก็ถือว่าพลาด

โชดดีตอนั้นมีถ่ายทอด Opp day สามารถอัพเดข้อมูลบริษัทได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ผมก็ไปเลยครับ

## เจอพี่หลายท่านเก่งๆน พี่ธีรนาถโชควัฒนา เจอพี่เกียรติ กาละมัง แล้วก็คุยกันคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ผมก็ถามพี่ว่าอย่างนี้น่ากลัวไหม? พี่ พีตอบว่า อย่างนี้เรียกว่าวิกฤตเศรษฐกิจอันนี้คือโอกาสด้วยนะโอกาส พี่เขากลัวตัวสั่นเลยนะผมอยากซื้อจนตัวสั่นเลย แต่ผมหมดแล้วเงินหมดซื้อหมดแล้วผมมี margin ครบแล้ว

พอเราได้ฟังเล่าเกิดความรู้ขึ้น พาแฟนไปนั่งฟังบ้าง แฟนตัดสินใจลองดูให้เงินมาอีก 5 ล้านซื้อเพิ่ม

จากนั้นเราก็ถามจากคนเก่งมาตลอด เช่น คุณ Yoyo ก็เป็นท่านนึงที่สอนผม ผมเคยอ่านเคยอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่าคนที่เก่งเกรดa มักจะคบกันคุยกัน หรือคบคนเกด a+ แต่คนเกรดบี มันจะคบกับคนเกรดซี และคนเกรดดี มันคบลดระดับลงไปเรื่อยๆเพราะอะไรเพราะสองคนกลุ่มนี้มันมีความคิดไม่เหมือนกันคนเกรด a เนี่ยเขาคิดว่าเขาจะเจริญเติบโตก้าวหน้าทางความคิดเนี่ยเขาจะเลือกคบคนที่เก่งกว่าเขา

หลังจากปีนังไปในปีถัดมาผมบวก 300% !! คือเกินกว่าที่เสียไปทั้งหมดแล้ว แฟนบอกว่าเลิกเถอะ หรือเอาเงินต้นออกก็ยังดี ความคิดของเราคือเอาไงดี ไปต่อหรือ พอแค่นี้ สรุปคือไปต่อเพราะ คิดว่ารอบนี้ลูกเราจะเปลี่ยนชีวิตลูกเราจะได้เรียนเมืองนอกมันจะได้ไม่โง่เหมือนเราพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง

จากนั้นเจอวิกฤตอีกครั้ง กรุงเทพฯและปริมณฑลประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนและน้ำท่วมครั้งนี้ก็ถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯปี 2485 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและมีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.44 ล้านล้านบาทมีประชาชนได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ถึง 12.8 ล้านคนส่งผลให้ GDP ประเทศไทยในปี 2554 เติบโตขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ตอนนี้รับมือได้นะครับเพราะว่าเรารู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้เดี๋ยวก็กลับมา หุ้นที่ถือไว้ดันถือหุ้นอสังหาลงเยอะมากมีตัวนึงแล้วกะว่าจะเป็นตัวกับพระเอกคือวันเลยตัวนี้ต้องพลิกชีวิต ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนๆเยอะเพราะเราเที่ยวไปเชียร์ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนนั้นขายไม่ได้เพราะซื้อไปเยอะ bid offer ไม่พอถ้่ขายมีหวังลงไปเยอะแน่ๆ ตอนนั้นทุน 30 สตางค์ ราคาลดลงกว่า 30% ก็ได้แต่คิดว่า ถือไปเดี๋ยวก็กลับมา เพราะ เรามั่นใจในธุรกิจ backlog บริษัท ก็ยังดี เราถือ warrant อายุ 5 ปีก็น่าจะไหวอยู่ ตอนนั้นข่าวร้ายก็มาเยอะนะ เขาถึงขนาดบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวน้ำก็ท่วมอีก บริษัทที่มีที่ดินเยอะ มีโครงการเยอะ แย่แน่นอน สุดท้านพอไปเช็คกับบริษัท ปรากฎว่าแก้ปัญหาด้วยการถมที่ให้สูงขึ้น และพฤติกรรมลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู้เพราะ ญาติพี่น้องอยู่แถวนั้น แค่ปี 1 ปีมันกลับมาทำไร 1 เท่า มันขึ้นมา 60 สตางค์

หลังจากน้ำท่วมผ่านไป Port ผมโตน้องนะ ปีละ 7% บ้าง ลบ 3% บ้าง + 5% อะไรประมาณนี้เพราะผมยังเล่น playbook แบบเดิม(หาหุ้น PE ต่ำ ) แต่ตลาดเล่นหุ้น Growth เราก็งงเลยทีนี้ เราก็ลองไปศึกษาจริงๆ ดู พบว่าจริงๆ แล้วเล่นได้นะ เพราะ ถ้าหุ้นตัวนั้น PE สูงแต่สร้างการเติบโตได้มากกว่าและต่อเนื่องหลายปี PE จะลดลงนั้นเอง เช่น PE 100 ถ้าโตปีละ 50% ติดกัน 5 ปี PE จะเหลือ 10กว่าเท่าครับ คนก็เลยให้มูลค่านั้นเอง และถ้าธุรกิจนั้น มี 2 ปัจจัยนี้จะดีมาก ปัจจัยนั้นคือ 1.สามารถเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ 2.ขยายสเกลธุรกิจได้ นักลงทุนจะให้คุณค่ามาก

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ สุดท้ายพี่มี่ ยังเน้นเรื่องการลงทุนให้มีความสุขด้วยนะ มีเงินมากเท่าไรแต่ถ้าเราเครียด จนป่วยก็นั้นเท่ากับว่าเราผิดทางแล้ว ไม่คุ้ม

ขอคุณคลิปดีๆ จาก ลงทุนแมน นะครับ

X