สรุปหนังสือ ‘ที่สุดของ VI’ โดย ชาย มโนภาส Part1

…………………………………………………………………………………………………….

3 บทความนับจากนี้ ประกอบด้วย 

PART 1: เรียนรู้

PART 2: แยกแยะ

PART 3: ตกผลึก

…………………………………………………………………

🖊การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI : Value investment) คือการเดินทางอันยาวนาน ระหว่างทางอาจพบเจอกับอุปสรรคมากมาย รุ่นพี่นักลงทุนผู้หนึ่งเคยกล่าวว่า “สำหรับคนที่บริหารจิตใจตนเองไม่เป็นนั้น การได้มารู้จักตลาดหุ้น อาจเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดในชีวิตของเขา” : ไม้ฟืน : พะเนียง พงษธา🖊

……….

🟥PART 1: เรียนรู้

………

🗞การเดินทาง🗞

การลงทุนเปรียบเสมือนการเดินทาง นักเดินทางสามารถเลือกสรรวิธีการเดินทางได้หลากหลายแบบตามจริตของแต่ละปัจเจกบุคคล เฉกเช่นเดียวกัน หนทางก้าวเดินไปสู่ความมั่งคั่งล้วนหลากหลาย เราจะเลือกแบบใดก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความชอบส่วนตัว ความสามารถ และองค์ความรู้ บางแนวทางนั้นมีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย หากแต่เพียงไม่เหมาะกับตัวเรา เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในแนวทางและหลักการ หมั่นศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนจนชำนาญ เกิดการตกตะกอนของความรู้ ผมเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดก็ตามนั้นสามารถนำทางไปสู่ความสำเร็จด้านการลงทุนในที่สุด

…………………………………

🗞อดทน🗞

นักลงทุนที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และความอดทน บางคนเวลาลงทุนชอบใช้ ‘ข้อมูลสำเร็จรูป’ ประเภทที่ว่าบอกชื่อหุ้น บอกแนวรับ แนวต้าน มาเสร็จสรรพ อาจไม่เคยรู้เลยว่าหุ้นที่เข้าซื้อไปนั้นประกอบธุรกิจอะไร ทำมาหากินอย่างไร มองกระบวนการลงทุนเป็นเพียงสัญลักษณ์และตัวเลขวิ่งขึ้นๆลงๆ นักลงทุนประเภทนี้คงยากที่จะพบเจอกับความสำเร็จ อยู่ในตลาดหุ้นมองเห็นแต่เพียงความโลภ จงอย่าลืมว่า “ความอดทนเปรียบเสมือนตัวคูณ”

…………………………………

🗞ความแตกต่าง🗞

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว ล้วนสามารถสร้างความมั่งคั่งได้เสมอ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุน คุณจำเป็นต้องใช้ความรู้ในการวิเคราะห์บริษัท มีความเข้าใจในกิจการและอุตสาหกรรมพอสมควร ไม่ใช่การนึกคิดวาดฝันไปเอง แน่นอนว่าหากเราใส่ความทุ่มเทพยายามไปเท่าไหร่ ขนาดของกำไรที่พอจะคาดหวังได้ก็คงไม่แตกต่างกัน

…………………………………

🗞ถึงนักลงทุนพอร์ตเล็ก🗞

ณ ตลาดหุ้นไทย ผมเชื่อว่ายังมีบริษัทที่ซื้อขายกันในราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานอยู่ สำหรับนักลงทุนที่พอร์ตยังเล็ก เงินยังน้อย ก็อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียว่าโอกาสทางการลงทุนดีๆคงหมดไปแล้ว เล่นหุ้นเอาสนุกก็พอ คุณควรใส่ใจในรายละเอียดเพื่อค้นหาโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมเชื่อเสมอว่าในโลกแห่งการลงทุน ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความยาก เมื่อเวลาผ่านไปจนเกิดเป็นความชำนาญแล้ว กระบวนการลงทุนก็จะมุ่งหน้าไปสู่ความเรียบง่าย ลดความซับซ้อนลงไปมาก หากเราเริ่มต้นชีวิตนักลงทุนด้วยการมองหาความง่าย ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่มีวินัย ไม่แสวงหาความรู้ ความสำเร็จคงเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่อยู่ในจุดเริ่มต้นของชีวิตนักลงทุนควรถามตนเองให้ดีก่อนว่า “เราจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นเขา” เมื่อในตลาดหุ้นนั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าสำหรับนักลงทุนรายย่อย คงมีเพียงความรู้ที่เข้มข้น การรู้จักอดทนและรอคอย ที่จะช่วยให้ฝันเรื่องอิสรภาพทางการเงินกลายเป็นความจริง

…………………………………

🗞เหนือกว่าวอลล์สตรีท🗞

ในกระบวนการลงทุนนั้นความรู้เรื่องบัญชีและธุรกิจเป็นสิ่งที่ร่ำเรียนกันได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ในที่สุดนักลงทุนซึ่งประสบความสำเร็จจะเฉือนคมกันที่รายละเอียด และความใส่ใจต่อหุ้นที่พวกเขาถือครองอยู่ ดังที่ ‘จิม โรเจอร์ส (Jim Rogers)’ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณอ่านรายงานประจำปีของบริษัท คุณก็จะเหนือกว่าคนอีก 98% ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท” ความเชื่อประมาณที่ว่านักลงทุนระยะยาวมักซื้อหุ้นที่มี P/E ต่ำ และจ่ายเงินปันผลสูงนั้นมีมาช้านาน การที่นักลงทุนคัดเลือกหุ้นแบบปักธงในใจมาแล้วนั้นอาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนที่ดีได้

………………………………….

🗞ความได้เปรียบ🗞

หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีความชำนาญพิเศษในอุตสาหกรรมใดๆอันสืบเนื่องมาจากการศึกษา หน้าที่การงาน หรือชีวิตประจำวัน ก็ไม่ควรปล่อยองค์ความรู้ที่มีให้สูญเปล่า ผมเคยเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทวัสดุก่อสร้างแห่งหนึ่ง และมีโอกาสได้พบกับนักลงทุนที่มีอาชีพหลักเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เขาสนใจเข้าลงทุนในบริษัทนี้เพราะเข้าใจสภาวะตลาดวัสดุก่อสร้างเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ‘มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางการลงทุน’ แต่หากเราเป็นนักลงทุนธรรมดาทั่วไป ขอให้นึกถึงคำแนะนำของ ‘แจ๊ก เวลช์ (Jack Welch)’ อดีตประธานบริษัท General Electric ที่เคยกล่าวไว้ว่า “หากไม่มีความสามารถในการแข่งขัน จงอย่าแข่งขัน” กลับมาลงทุนในกิจการที่คุ้นเคยกันดีกว่าครับ

………………………………….

🗞เล่นหุ้นตามเซียน🗞

มุมมองหรือทัศนคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งของเซียนหรือผู้เชี่ยวชาญอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ไม่มีอะไรแน่นอน การฟังความคิดเห็นจากผู้รู้นั้นเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่การฟังแล้วปักใจเชื่อว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน อาจทำให้เรามีมุมมองด้านต่างๆคับแคบจนเกินไป เราควรให้น้ำหนักกับสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง (Fact) มากกว่าข้อคิดเห็น (Opinion)

…………………………………..

🗞การเงินสำหรับคนธรรมดา🗞

การเริ่มเก็บออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย หากได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และมีอายุยืนยาวนั้นเป็นตัวช่วยชั้นดีต่อการสร้างความมั่งคั่งอย่างไม่ยากเย็นจนเกินไปนัก จุดตัดสำคัญในการลงทุนสำหรับคนทั่วไปคือคุณต้องแยกแยะให้ออกว่าธุรกิจใดเหมาะสมแก่การลงทุนระยะยาว บริษัทซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อคัดเลือกมาเป็นอย่างดีแล้วก็ใส่เงินออมลงไปพอสมควร จากนั้นเหลือเพียงแค่รอเวลาให้เครื่องจักรแห่งความมั่งคั่งทำงานต่อไปเรื่อยๆ คนธรรมดาสามารถบรรลุเป้าหมายทางการออมได้ หากพวกเขามุ่งมั่น เอาจริง มีวินัย และไม่ใช้จ่ายเงินจนเกินตัว

………………………………..

🗞ไม่มีอะไรที่แน่นอน🗞

นักลงทุนทั่วไปสามารถจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนได้ด้วยตนเอง เช่นกระจายการถือครองหุ้นไปในหลายบริษัท หลากหลายอุตสาหกรรม และถือครองเงินสดไว้ในระดับที่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล หากมีการกู้ยืมเงินมาลงทุนก็ควรอยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป สามารถบริหารจัดการได้ ‘วอเร็น บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)’ ถือครองเงินสดประมาณ 10 – 20% จากสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ‘Berkshire Hathaway’ อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเชื่อว่าหากมีข้อเสนอทางการลงทุนดีๆผ่านเข้ามาจะได้ไขว่คว้าไว้อย่างทันท่วงที

‘โฮเวิร์ด มาร์ค (Howard Marks)’ เคยกล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคต แต่เราสามารถเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ได้” นี่เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากสำหรับการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน

………………………………….

🗞กระจายความเสี่ยง🗞

การกระจายความเสี่ยงนั้นหากนักลงทุนนำมาใช้อย่างถูกต้องก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้ แต่ในทางกลับกันก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลได้เช่นกันหากกระทำด้วยความไม่รู้ เช่นการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ที่เราขาดความเชี่ยวชาญหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ความรู้ในสินทรัพย์นั้นๆแทบไม่มี แบบนี้เรียกว่าการ ‘เดินเข้าหาความเสี่ยง’ คงได้รับบาดแผลกลับมาอย่างแน่นอน

………………………………

🗞เมฆหมอกแห่งการลงทุน🗞

ปัญหาหลักของนักลงทุนในปัจจุบันนี้ไม่ใช่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร หากแต่เป็นการวิเคราะห์ข่าวสารเพื่อกลั่นกรองและพัฒนาไปสู่กลยุทธ์การลงทุน หากเราหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ มองทุกสิ่งให้รอบด้านและเป็นกลาง ก็จะสามารถมองผ่านเมฆหมอกและค้นพบโอกาสดีๆทางการลงทุนได้ในท้ายที่สุด

……………………………….

🗞คิดอย่างเป็นอิสระ🗞

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้นมีความเชี่ยวชาญด้านบัญชีและงบการเงินอย่างทะลุปุโปร่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินทุกคนจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ยังมีปัจจัยสำคัญอีกมากมายซึ่งนอกเหนือไปจากความรู้ด้านการเงิน ไม่แน่ว่าพื้นฐานทางด้านจิตวิทยานั้นอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ ‘วอเร็น บัฟเฟตต์’ กล่าวไว้ว่า “คุณไม่มีวันเข้าถึงความสำเร็จในการลงทุนได้ หากคุณยังไม่สามารถคิดได้อย่างเป็นอิสระ” ระบบความคิดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

นักลงทุนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ที่เริ่มสนใจในตลาดหุ้น มักเริ่มต้นด้วยการศึกษาด้านการเงินก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อศึกษาด้านการเงินมาพอสมควรแล้วก็ควรศึกษาหาความรู้แขนงอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างและแหลมคมยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากนั้นหากคุณเชื่อว่า “ความคิดที่ดีเกิดขึ้นจากใจที่ดี” ก็น่าจะศึกษาเรื่องการฝึกจิตใจดูบ้าง ผมเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อชีวิตในฐานะนักลงทุนและมนุษย์คนหนึ่งบ้างไม่มากก็น้อยในอนาคต

………………………………………………………………………………..

📌แล้วพบกันใหม่สำหรับบทความตอนต่อไปใน ‘PART 2: แยกแยะ’ และ ‘PART 3: ตกผลึก’ เร็วๆนี้

📌ป.ล. หนังสือเล่มดังกล่าวนี้จะถูกจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง ‘สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) : THAI VI’ หากแต่ยังไม่มีกำหนดการอันแน่นอน รอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ ไม่นานเกินรอ ขอขอบคุณ THAI VI และคุณชาย มโนภาส ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆวันนะครับ 😊

Tender Offer คืออะไร

Tender Offer คือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ

เราคงเคยได้ยินคำว่า Take Over บริษัทนั่นก็คือการที่มีคนเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และ มีอิทธิพลเหนือการบริหารงานของบริษัทซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ เรียกว่า “การครอบงำกิจการ” นั้นเอง

อย่างไรก็ตามในฐานะที่เราเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยคงมีคำถามว่า เมื่อบริษัทถูกครอบงำกิจการจะมีกฎกติกาอะไรหรือไม่ ที่จะทำให้เราไม่เสียเปรียบนั่นก็เป็นที่มาของกฎเกณฑ์เรื่องการครอบงำกิจการกฎเกณฑ์เรื่องนี้ระบุไว้ว่า คนที่เข้ามาครอบงำกิจการ จะต้องทำคำเสนอซื้อ หรือ Tender Offer จากผู้ถือหุ้นรายอื่นที่เหลือทั้งหมดของกิจการด้วย.การทำคำเสนอซื้อตามหน้าที่แบบนี้ จะเรียกว่า Mandatory Tender Offer ซึ่งจะต้องทำเมื่อผู้ที่ครอบงำกิจการได้หุ้นจนถือหุ้นถึง ร้อยละ 25, 50, 75 ขึ้นไปของกิจการ.ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อปกป้องรายย่อย เช่น การกำหนดให้ราคา Tender Offer ต้องไม่ต่ำกว่าราคาสูงสุดที่คนเข้ามาครอบงำกิจการเคยซื้อภายใน 90 วัน อีกด้วย

#TenderOffer

โพยหุ้นปันผลดี

ในกลางภาวะตลาดผันผวน เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ 😱หลายคนคงอยากได้หุ้นปลอดภัย 🤗 ถือแล้วอุ่นใจ ไม่เสียวไส้ ใจสั่น 💓😉วันนี้พวกเราคัดหุ้นปันผลเด็ดๆ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ นักลงทุนไปทำการบ้านกันต่อครับ 😊

แอดไลน์ GOINVEST FREE!!! พูดคุยปรึกษาการหาปันผล หรือ จัดพอทเพื่อ

6 ตัวกรองคัดหุ้นปันผลดี

หุ้นปันผล เป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงโดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน เพราะถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงแต่ก็ยังได้รับเงินปันผล

ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายให้กับพอร์ตลงทุนได้ อีกทั้งบริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาได้นั้น ธุรกิจต้องมีกำไร การลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง

วันนี้เลยหยิบความรู้การกรองหุ้นปันผลีมาฝากกันนะครับ6 ตัวกรองคัดหุ้นปันผลดี ดังนี้

1. ต้องเป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่เป็นเงินสด (Cash Dividend) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี ให้ครอบคลุมช่วงที่เกินภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่น ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงหลังจุดเริ่มต้นของ Hamburger Crisis – 2558) การกำหนดเงื่อนไขนี้ ก็เพื่อจะคัดกรองหาบริษัทที่มีทั้งความตั้งใจหรือมีนโยบายชัดเจนที่จะจ่ายเงินปันผล และในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในฐานะที่มีความพร้อมในการที่จะจ่ายเงินปันผลอีกด้วย ทั้งนี้ สามารถที่จะวิเคราะห์ผ่านองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้

2.) กำไรสะสม บริษัทที่จะจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องต้องมีกำไรสะสมที่มากเพียงพอ เพราะกฎหมายกำหนดให้จ่ายเงินปันผลได้เมื่อกิจการมีกำไรสะสมเป็นบวกเท่านั้น ดังนั้น หากติดลบกลายเป็นขาดทุนสะสม หรือ บวกน้อย ก็จะมีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลได้น้อย หรืออาจจ่ายได้ไม่ต่อเนื่อง

3.) กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operation, CFO) ถือเป็นรายการหลักที่วัดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการ เพราะถึงแม้กิจการจะมีกำไรสุทธิ แต่ CFO ติดลบ ก็จะให้มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ยิ่งไปกว่านั้น ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ากิจการจำเป็นต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมมาใช้หมุนเวียน ซึ่งหากไม่มีเงินทุนสำรอง ก็อาจต้องก่อหนี้เพิ่ม ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนมีแนวโน้มสูงขึ้น ถือเป็นอุปสรรคในการจ่ายเงินปันผลที่สำคัญ

4.) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) โดยหลักการบัญชี การจ่ายเงินปันผล เป็นกลไกที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ (Net Equity) ลดต่ำลง ผลที่เกิดขึ้นจึงทำให้อัตราส่วน Debt to Equity ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวทำให้กิจการที่มีอัตราส่วน Debt to Equity สูงอยู่แล้ว มีข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ การที่จะบอกว่า Debt to Equity ระดับใดสูง ควรทำการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเป็นเกณฑ์ เช่น ไม่เกิน 2 เท่า

5) อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) อาจถือได้ว่าเป็นการวัดความตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้ บริษัทที่อยู่ในช่วงที่มีการเติบโตสูงมักจะมี Dividend Payout Ratio ที่ต่ำ เช่น ประมาณ 30% ของกำไร เนื่องจากผู้บริหารมีความเชื่อว่า หากเก็บเงินที่จะจ่ายเงินปันผลไว้ลงทุนขยายกิจการต่อ ก็น่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าการนำเงินมาจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็น Growth Stock นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ควรคาดหวังผลตอบแทนจาก Capital Gain มากกว่า Dividend ในทางตรงข้ามบริษัทที่ได้ผ่านช่วงของการลงทุนขนาดใหญ่มาแล้ว หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนลดลง อาจสามารถกำหนด Dividend Payout Ratio ที่สูงขึ้นได้ โดยอาจกำหนดที่ระดับสูงกว่า 50% ของกำไรสุทธิ หรือบางบริษัทอาจจ่ายถึง 100% ของกำไรสุทธิ (มีกำไรสุทธิเท่าไรในแต่ละปี นำมาจ่ายเป็นเงินปันผลทั้งหมด) ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนการลงทุนมาจาก Dividend Yield ควรที่จะเลือกลงทุนในหุ้นประเภทนี้

6. ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) มากกว่า 5% ต่อปี ทั้งนี้ตัวเลข Dividend Yield ที่กำหนดเป็นอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องการเข้าไปลงทุน ออกมาตามที่คาด แต่การที่จะกำหนดเท่าไรขึ้นอยู่กับความพอใจ และ ขีดความสามารถในการรับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ อย่างไรก็ตามหากตั้งเกณฑ์คัดกรองหุ้นโดยกำหนด Dividend Yield ที่สูงจนเกินไป ก็อาจมีหุ้นที่เป็นตัวเลือกน้อยลง และที่สำคัญ เงินปันผลที่ใช้นำมากำหนดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ต้องเป็นเงินปันผลที่คาดการณ์ว่าจะได้รับในอนาคต ไม่ใช่เงินปันผลที่จ่ายมาแล้วในอดีต

หากสนใจเข้ารวมห้องLINE เพื่อพูดคุยเรื่องกองทุน แลกเปลี่ยนความรู้ https://line.me/ti/g2/qBJJsQlZNF2Qc2-tuC6MfOLftB1Iy8dXKszLsg?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
.
Cr Set.or.th, setinvestnow , คุณ เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม

เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอ

เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย :

Jaspreet SinghJaspreet Singh เป็นใคร Founder & CEO at Druva, Inc

ซึ่งเป็นผู้นำในการปกป้องข้อมูลและการจัดการข้อมูลบนคลาวด์ และเป็นนักลงทุน .ทำช่อง Minority Mindset YouTube Channelโดยมีการดูมากกว่า 15,800,000 ครั้งและผู้ติดตาม 370,000 ราย

Jaspreet ได้ให้คำตอบว่า สาเหตุที่มี millionaire หรือเศรษฐีเงินล้านเกิดในช่วงที่เกิดสภาวะ recession สภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมไปถึงช่วง market crash เป็นเพราะ ในช่วงดังกล่าว จะมีผู้คนเป็นจำนวนมากเกิดความกลัว แล้วพวกเขาก็จะพากันเทขาย assets หรือทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ คริปโตฯ ทองคำ หรือทรัพย์สินอะไรก็ตามที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ณ ขณะนั้น

ซึ่งมันคือโอกาสของคนที่มีเงินสดอยู่ในมือ คนที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ที่มีความรู้ทางด้านการเงิน มีความรู้ในสิ่งที่จะลงทุน ในการช้อนซื้อทรัพย์สินดังกล่าวในราคาที่ถูกกว่าราคาที่มันควรจะเป็น เพราะในช่วงเวลาที่ผู้คนเกิดความกลัวนั้น พวกเขาจะแย่งกันเทขายในราคาที่ถูก เพื่อให้ขายออกไปได้ไวที่สุด

ซึ่งการเข้าซื้อ การเข้าลงทุนในทรัพย์สินดังกล่าว ก็จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ดี ไม่ใช่ราคาลงเพราะบริษัทดังกล่าวล้มละลาย แต่เป็นเพราะราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าว ถูกตลาดกดดันให้ราคาหุ้นตกต่ำลง ในขณะที่บริษัทดังกล่าว ก็ยังคงมีผลประกอบการที่ดีอยู่.ดังนั้นสภาวะฟองสบู่แตก สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ นั้น จะมีผลโดยตรงกับผู้คนที่ไม่ได้เตรียมตัว ผู้คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเงิน เกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ.ขอขอบคุณ

ข้อมูลจาก www.blueoclock.com/

ลงทุนอย่างเซียนกับคุณ YOYO สันติ สิงหวังชา

คุณ YOYO หรือ สันติ สิงหวังชา เป้นนักลงทุนมากฝีมือ และเขียน blog ชื่อ yoyo way ที่แทบจะบันทึกมุมมองการลงทุนของหุ้นที่ลงทุนอย่างคมกริบ แม้วันนี้เขาจะไม่อยู่แล้วแต่ก็ยังฝากแนวคิดไว้ให้เราศึกษากันอยู่ โดย yoyo ได้ฝากไว้ 3 เรื่อง

1 วิกฤติ subprime 2008 เกือบพังเพราะถือหุ้นไม่กี่ตัว

ก่อนวิกฤติ จบวิศวะโยธา ทำงานแล้วไม่มีความสุข ลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา
จากพอร์ท 1 ล้านขึ้นไป 88 ล้าน จากถือหุ้นน้อยตัว และใช้ margin เต็มแม็ก
ส่วนใหญ่เป็นหุ้น PE ต่ำ และมีการเติบโตในอีก 2-3 ปีที่ชัดเจน

ตอนนั้นหุ้น 3 ทหารเสือประกอบด้วย Uec ums snc ใครเล่น thaivi.org ยุคนั้นต้องเคยอ่านในห้องร้อยคนร้อยหุ้น
พอเกิดวิกฤติชะล่าใจ ยิ่งลงก็ยิ่งเพิ่มมาร์จิ้น เพิ่มจนไม่ควรเพิ่ม
จนเหลือลงไม่กี่ % จะโดน force sell
โชคดีที่อีกนิดเดียวจะโดน แล้วมีคนเข้ามาฟื้น เลยค่อยปล่อยไปบางส่วน
แต่ธุรกิจยังเป็นตามที่เราคิดทุกอย่าง

หลังจากเจ็บก็เริ่มเปลี่ยนมาซื้อหุ้นปันผลสูง เพราะจะกลับไปทำงาน ถ้าไม่ขึ้น 2-3 ปีก็คืนทุน
ไปซื้อหุ้น LPN ปันผล 20% PE ต่ำมาก สนามบินสมุย และหุ้นอืนๆ รวม 5 ตัว

หลังจากนั้นตลาดตีคืน พอร์ทขึ้นไป 30 ล้าน กลับมาเดินหน้าลงทนต่อ
ปีถัดมา yoyo ได้ผลตอบแทน 397% จากหุ้นอสังหา

2เจ็บหนักจากหุ้นจีนที่ลิสในตลาดหุ้นอเมริกา

หลังจาก subprime หุ้นไทยวิ่งจนเริ่มแพง จึงไปต่างประเทศ
ช่วงแรกไป 20% ของพอร์ท ไปเจอหุ้นจีนที่ list ในอเมริกา china biotic มีเรื่องการเติบโตไวมาก
สตอรี่การลงทุนชัดมาร์เก็ตแชร์ 3% และขายถูกกว่าต่างชาติ 40%
โตปีละ 40% กำลังขยายโรงงานไปร้านค้าปลีก ปีครึ่งคืนทุน
ผู้สอบบัญชีเป็น big4

แต่หุ้นเริ่มลง มีข่าวลือว่าเป็นบริษัทปลอม
นักวิเคระห์ก็ไปดูทั้งเมืองจีนมาแล้วไม่มีร้านสาขาดังว่า

แต่บริษัทออกมาบอกว่ามีจริงๆ ส่งที่อยู่มาให้ดี แต่นักวิเคราะห์ไปดูก็ไม่มีอะไร

พอไป company visit ไปสัมภาษณ์คนบอกว่าถูกจ้างมาเริ่มตะหงิดๆ
แต่ก็ซื้อเพิ่มไป 50% ของพอร์ท เพราะยังมั่นใจ story

ไปดูงบกระแสเงินสดแปลก 2 เรื่อง
คือไม่มีหนี้แต่เพิ่มทุน และไม่ยอมจ่ายปันผล

จากนั้น cfo ลาออก และมีข่าวไม่จ่ายหนี้ บริษัทราคาหุ้นร่วงระเนระนาด กลับมาด้วยความผิดหวัง

หุ้นไทยมีการปรับฐานแล้วได้จากหุ้น jas พลิกพอร์ทกลับมาได้

ทำให้สไตร์การลงทุนเปลี่ยนไป

หุ้นไทยช่วงหลังๆ yoyo ยังเป็นแนวเดิมคือหุ้น PE ต่ำ ต่างประเทศก็ไป facebook tencent ที่ผู้บริหารดูดีหน่อย
ปรับตัวมาหาหุ้นคุณภาพมากขึ้น

3.บทสรุปคือหาจุดขาย ไม่ใช่ฝีมืออย่างเดียว

มองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มลงทุน ความมั่งคั่งของหุ้นที่ตีแตก
หุ้นแต่ละตัวไม่ได้โตตามที่คาดไว้เลย
แต่โชคดีที่ซื้อแล้วขึ้น แล้วก็ขาย และตลาดดี

เมื่อมองหุ้น อ นิเวศน์ เลือก เป็นการเติบโตที่ไม่กลับมาที่เดิม
อย่างค้าปลีกพอขยายสาขา ลูกค้าแถวนั้นก็ซื้อซ้ำ ยิ่งขยายกำไรก็ยกฐานไปเรื่อยๆ

คุณ Yoyo เริ่มเอาแนวคิดนี้ไปลงทุนต่างประเทศ เริ่มเห็นซื้อ PE20 เท่า เปลี่ยนจากจากที่ซื้อ PE ต่ำและเติบโตสูง
มาเป็นหุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสม และเติบโตเรื่อยๆมมากขึ้น

จากบทสัมภาษณ์จะเห็นพัฒนาการของการลงทุน จากสายโหด เล่นทีละไม่กี่ตัว ที่ PE ต่ำและปันผลสูง มาหุ้นต่างประเทศ และหุ้นเติบโตเรื่อยๆ เพื่อให้ความรู้แน่นๆกว่านี้แนะนำให้ไปที่ blog yoyo way ต่อเลยครับ รวบรวมบทความระดับตำนานมากห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=5myGf3hl8xY

วิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็นเงิน 1 ล้านล้านบาทโดยบัฟเฟตต์

ณ ปี 2021 เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 19,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราวๆ 3.4 ล้านล้านบาทเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 6 ของโลก

ปู่ได้รับคำถามในงานประชุมใหญ่ประจำปี 2021 ของผู้ถือหุ้นในปีล่าสุดว่า

🤔 คุณปู่ครับช่วยตอบผมหน่อยว่าทำยังไงผมถึงจะหาเงินได้ซัก 30,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาทได้บ้างครับ เมื่อชายหนุ่มถามคำถามนี้ทำให้ผู้คนในห้องประชุมถึงกับฮือฮากับคำถามนี้ไปตามๆกันในใจคงคิดประมาณว่าแม่พ่อหนุ่มเอางั้นเลย

🤓โดยปู่ก็ตอบสวนอย่างทันควันว่าอันดับแรกสุดคุณจะต้องมีอายุที่น้อยซะก่อนซึ่งถ้าถามปู่ในวันนี้ในวัย 90 ปีถ้าจะให้เริ่มต้นจากศูนย์ตอนนี้ก็คงยากที่จะตอบได้เหมือนกัน

ปูเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำก่อนว่าการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มันก็เริ่มต้นมาจากการสร้างสิ่งเล็กๆก่อนเช่นเดียวกับ⛄กฎของสโนว์บอลที่เป็นหิมะก้อนใหญ่ก็เริ่มต้นจากหิมะก้อนเล็กๆที่กำลังกลิ้งลงมาจากเทือกเขาซึ่งเทือกเขานั้นก็จะต้องมีระยะทางที่ทอดยาวมากพอที่จะให้ก้อนหิมะค่อยๆเพาะปูนจากก้อนเล็กๆกลายเป็นก้อนใหญ่มหึมาได้ในที่สุด

ซึ่งเปรียบได้กับการเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่นั่นเองและที่สำคัญไปกว่าอายุน้อยไม่แพ้กันนั่นก็คือคุณจำเป็นที่จะต้องมีอายุยืนยาวด้วยโดยปู่บอกว่าสิ่งที่เทียบเคียงกับหลักของสโนว์บอลได้นั้นก็คือหลักการของดอกเบี้ยทบต้นสิ่งนั้นคุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนก้อนน้อยๆแต่พอวันเวลาผ่านไปนานขึ้นด้วยพลังของดอกทบต้นก็สามารถเปลี่ยนจากเงินไม่กี่บาทให้กลายเป็นหลักล้านได้เช่นกัน

✅การเก็บเงิน ปู่ยกตังอย่างว่าตอนเรียนจบจากระดับปริญญาตรีให้เขาเก็บเงินได้สัก 10,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 3 แสนบาท

✅เอาเงินไปซื้อบริษัทพื้นฐานดีที่ขนาดไม่ใหญ่มากสิ่งแรกที่เขาจะทำทันทีเลยก็คือพอเรียนจบเขาจะนำเงินเก็บก้อนนี้ไปซื้อบริษัทโดยเริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆเนื่องจากจำนวนเงินที่นำไปลงทุนนั้นก็ไม่ได้มีมากมายอะไรประกอบกับโอกาสในการที่บริษัทขนาดเล็กสามารถเติบโตเป็นบริษัทได้นั้นมันยังมีช่องทางอีกมากโดยไม่สามารถทำให้เงินทุนเพียงเล็กน้อยเติบโตได้อีกหลายสิบเท่าหลายร้อยเท่าแถมบริษัทขนาดเล็กมักจะถูกผู้คนส่วนใหญ่มองข้ามศักยภาพของมันไปโดยปู่ได้เน้นย้ำว่าการซื้อบริษัทคือหนทางเดียวที่จะทำให้เงินร่องเงยได้อย่างมหาศาล

📌และปู่ก็คอนเฟิร์มว่าวิธีการนี้มันจะเวิร์คไปอีกเป็นร้อยปีนับจากนี้โดยหลักการนี้มันยังคงใช้ได้อยู่เพราะเอาจริงๆแล้วแค่รุ่นปู่รุ่นเดียวก็เกือบ 100 ปีเข้าไปแล้ว

✅ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

โดยปู่บอกว่าไม่มีหรอกที่จู่ๆจะมีคนมาบอกว่าให้ลงทุนธุรกิจนั้นสิลงทุนธุรกิจนี้สิอีก 10 ปีมันจะเป็นบริษัทมหาชนแน่ๆลงทุนวันนี้เป็นเศรษฐีในวันหน้าซึ่งถ้าใครมาชักชวนหรือเครมอะไรประมาณนี้ก็ให้ระวังเอาไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจจะกำลังคุยอยู่กับมิจฉาชีพก็เป็นได้ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อค้นหาธุรกิจที่ดีและมีศักยภาพไปลงทุนในบริษัทนึงในยุคแรกๆจนตอนนี้มันไปไกลโดยข้อดีของธุรกิจประเภทนี้ก็คือหลังจากที่ขายประกันให้กับลูกค้าได้แล้วเงินมันจะมากองอยู่ที่บริษัทโดยยังไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมจนกว่าลูกค้าจะเกิดอุบัติเหตุซึ่งนั่นมันทำให้บริษัทหรือเงินสดอย่างมหาศาลทำให้ในระหว่างนี้ทางบริษัทก็สามารถนำเงินสดไปลงทุนในด้านต่างๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้นั่นเองและด้วยเหตุนี้จึงเป็นบริษัทแหล่งเงินทุนที่สำคัญในบริษัทอื่นๆอีกเยอะแยะมากมายซึ่งเมื่อปู่นึกย้อนกลับไปในช่วงแรกๆที่ค้นพบโอกาสในการลงทุนในบริษัทนั้นหลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูลปู่ค่อนข้างมั่นใจว่าดีจริงณเวลานั้นไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ปู่พยายามจะสื่อเลย ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในตนเองเพราะถ้าหากเราไปเชื่อคนอื่นก็คงมีแต่คนบอกว่าอย่าไปลงทุนมันเลยมันไม่เวิร์คหรอกบริษัทไม่น่าเติบโตได้ไม่เห็นจะมีอนาคตตรงไหนเลยเพราะอย่าลืมว่าหากย้อนเวลาไปหลายสิบปีก่อนหน้านี้จำนวนรถยนต์บนท้องถนนยังไม่มากมายสักเท่าไรนะลูกค้าที่มีตังค์พอจะซื้อรถยนต์ได้ส่วนใหญ่ก็คนมีตังค์เท่านั้นแหละแต่หารู้ไม่ว่าพอมาถึงยุคปัจจุบันตลาดรถยนต์เติบโตอย่างมหาศาลส่งผลให้ธุรกิจประกันก็เติบโตอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน

✅ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาและเราจะต้องรู้ว่าเรารู้อะไรและไม่รู้อะไรบ้างแล้วให้เราลงทุนในขอบเขตที่เรารู้จักมันเป็นอย่างดีเท่านั้นและนี่ก็คือวิธีการเปลี่ยนเงิน 300,000 บาทให้กลายเป็น 1 ล้านล้านบาทโดยปู่วรเวนบัฟเฟต์พ่อมดการลงทุนแห่งโอมา

=======================

🔥🔥🔥คอร์สเจาะหุ้นเด่นไตรมาส 3/2022🔥🔥🔥เรียน 2 วันเต็ม จุใจ ทั้งกราฟและพื้นฐาน ผ่านZOOM ถามได้ไม่อั้นและเริ่มเรียนสด วันที่ 2/7/2022 และ 3/7/2022(ดูย้อนหลังได้).ผสานความรู้พื้นฐานและเทคนิคเพื่อค้นหาหุ้นแกร่งในไตรมาส 3 และครึ่งปีหลัง.ในสถาณการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่มีวิกฤติรออยู่หลายลูก ทั้งเงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้การลงทุนในครึ่งปีหลังยากมากขึ้นคอร์สนี้จะพาผู้เรียน วิเคราะห์ทั้ง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และรายบริษัท เพื่อให้เห็นภาพอนาคตและเลือกหุ้นลงทุนได้ง่ายขึ้นรวมถึงเทคนิคการเข้าหุ้นให้คม โดยใช้พื้นฐานกรองหุ้น ผสานเทคนิคจับจังหวะ เพื่อการทำกำไรอย่างยั่งยืน

🎯เรียนแล้วได้อะไร.

💸การวิเคราะห์ภาพใหญ่ ตัวเลขเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม พร้อมเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ให้ง่ายขึ้น

💸สรุปมุมมองกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังจากหลายสำนัก

💸วิเคราะห์และหาหุ้นเติบโตโดยผสานพื้นฐานและเทคนิคตามแนวทาง LABHOON

💸เทคนิคการเข้าซื้อแบบ muti time frame เพื่อยืนยันจุดซื้อขายให้คม

💸เคล็ดลับวางแผนจังหวะเข้าซื้อ ขาย ทำกำไรและตัดขาดทุนให้คม

💸การวาง money management ให้มีประประสิทธิภาพ

💸กรณีศึกษา เจาะลึกหุ้นที่เติบโตสวนเศรษฐกิจ มากกว่า 10 ตัว จัดเต็มทั้งพื้นฐานและเทคนิค

พิเศษสำหรับ ผู้ที่สมัครภายใน 18/6/2022 เท่านั้น💰ราคาพิเศษเพียง 12,900 บาท จาก 15,000 บาทและได้รับ สมาชิก labhoon ฟรีทันที 3 เดือน มูลค่ากว่า 2,000 บาท

📱ติดต่อสมัครเรียนได้ที่ line ID: @labhoon📱add line https://urlty.co/TLQ.มาเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อการเทรดอย่างยั่งยืนกันครับ

X