โลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมด ดู 3 ปีแล้วตอนนี้ดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก

คุณพิชัยมองว่าปีนี้จะเหลืออยู่ประมาณ1500จุด จากที่ตอนแรกมองไว้2,000จุด

คุณพิชัยมองว่าการที่เกิดสงครามขึ้นนั้นเกิดจากความบังเอิญดูเป็นระบบประโยชน์เพื่อดันให้ราคาcommodityนั้นขึ้้นไป

ถ้าค่าเงิน US เเข็งมากๆแล้วค่าเงินเอเซียอ่อนมากๆ แบบที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันจะเกิดสภาพที่เรียกว่าอสังหาบูม investment boom การท่องเที่ยวบูม ใน 5 ปี 10 ปีค่าเงินเยนจะไปถึง 200

มันเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆเหมือนกับการที่เราปลดทองคำออกจาก US สมัย 50 ปีก่อน ถ้าหากปราศจากการแข็งค่าของ US โลกจะเดินไปต่อไม่ได้ ดังนั้นหากคนส่วนใหญ่มองว่าDollaจะร่วงอย่างรุนแรง แต่หากดอลล่าเกิดเข้มแข็งขึ้นมาผลประโยชน์จะตกอยู่กับคน 3% แล้วคนส่วนใหญ่ก็มองว่าอยู่ดิจิตอลกลับคริปโตเคอเรนซี่จะมาแทน โลกนี้ก็จะเดินต่อได้ด้วย และสิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจบูมได้แต่เป็นเวลา 2-5 ปีในระยะยาว ส่วนใครที่คิดว่าน้ำมันจะกลับลงไปถูกเหมือนเดิมคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ การที่น้ำมันจะอยู่ต่ำกว่าร้อยจะเป็นเรื่องชั่วคราวส่วน 100-160 จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะยาว.สิ่งที่เราทำได้ก็คือซื้อหุ้นจากบริษัทที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาขึ้นนั่นเองภาพตอนนี้เราเหมือนอยู่ในdead lockไม่สามารถขยับไปไหนเลย เรารู้สึกเหมือนไม่มีทางแก้มาแล้วประมาณ 5 ปีเป็นอย่างน้อย กำลังทางแก้จะไปได้คืนเงิน US จะต้องกลับมาแข็งและตอนนี้มันกำลังกำลังเกิดขึ้นคุณพิชัยมองว่าหุ้นจะไป 2,000 แต่ตอนนี้มีช่วงระหว่างขั้นจังหวะ ด้วยเหตุการพิเศษ ซึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลังทุกคนตอนนี้มองดีไปหมดก็อาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้พักฐานบ้าง ระบบประโยชน์ไม่เคยมองว่าเราจะขายที่จุดสูงสุดเราจะขายก่อนจุดสูงสุดเสมอ

ทำไมต้อง 1700 ต้นๆหุ้นถึงลงมา คุณพิชัยอธิบายดังนี้

1 ต่างชาติnet buy 2.SET50 ขึ้น 3.กำไรกำลังจะมาหลัง covid จบ 4.กราฟแสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ทุกคนลืมFEDไปเลยที่จะขึ้นดอกเบี้ยสภาพตลาดจะเปลี่ยนเป็นดีมากๆในทางเดียวกัน พอทุกคนเข้าไปซื้อพร้อมกันหมดตลาดหุ้นปรับตัวลง

ภาพที่ 1 คือถ้าเสร็จลงไปเรื่อยๆเป็นลักษณะ Side Way Down ลงไป 1,500 คุณพิชัยเชื่อว่าอาจจะเจอ Bottom เลยปีนี้

ภาพที่ 2 ถ้าอยู่ดีๆสงครามจบ SETเเข็งแกร่ง พร้อมทั้งขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งผ่อนคลายqt ถ้าเสร็จเรื่องส่งสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะน้อยและช้า การทำqtจะช้า พร้อมทั้งเซตวิ่งไป1700 บวก ความกังวลสงครามก็หายไป ถ้าหากเกิดภาพนี้พิชัยมองว่าส่วนตัวจะลดพอร์ตมากกว่าครึ่ง การปรับฐานก็จะกินเวลาไปถึงปลายปีหน้าได้เลย แต่ก็มองว่าเสร็จไม่น่าจะลงไปลึกกว่าเดิม ดังนั้นตอนนี้คุณพิชัยก็รอดูอยู่ว่าจะออกไปทางไหน แต่คุณพิชัยมองว่าช่วงนี้เราไม่ควรมีหุ้นเต็มพอทแล้ว ถ้าคุณรู้จักตัวเองก่อนคุณถึงจะประเมินสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง ด้วยการมองแบบคนนอกมองเข้ามาแต่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่มอง

คุณพิชัยมองว่า หุ้นรายกลุ่มอย่างไร

1.กลุ่มโรงไฟฟ้า อันตรายสุดโดยเฉพาะถ้าไม่ได้ทำ EV ทำในปีนี้และปีหน้า เพราะคนสนใจกลุ่มนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็ได้ลดลงไปบ้างแล้ว

กลุ่มที่ 2 คือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คุณวิชัยมองว่ายังไม่ดี

กลุ่มที่ 3 คือปิโตรโรงกลั่นอันนี้มีลุ้น

กลุ่มที่ 4 คือกลุ่มแบงค์คุณวิชัยมองว่าเพิ่งขายไป คุณพิชัยบอกว่าได้ขึ้นมาเยอะแล้วคนก็มองว่าดีกันหมด กลุ่มหลักทรัพย์ก็ได้ขายออกลบไปหมดแล้ว

กลุ่มเปิดเมืองก็ได้ขึ้นมาเยอะแล้วก็เลยไม่แนะนำ.ให้ดูรายบริษัทแทน มองว่ายังได้ คือได้คือ อสังหาริมทรัพย์สื่อสาร สินค้าเกษตร ก่อสร้าง เดินเรือ แล้วก็หุ้นเล็กอีกจำนวนหนึ่ง ในช่วงที่ตลาดไม่เล่นหุ้นใหญ่ หุ้นเล็กก็จะกลับมาได้ โดยเฉพาะเป็นหุ้นเก็บตกหรือหลงลืม

ส่วนใหญ่ที่ทำให้พี่ทางคือคนส่วนใหญ่วิเคราะห์แบบง่ายเกินไป มองไปทางเดียวหมดแบบง่ายเกินไป คน 3 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่คนวิเคราะห์ ให้เราจินตนาการว่าคน 3% จะทำยังไงให้เงินของเขาที่มีจำนวนมาก Matching กับเงินคนส่วนใหญ่.ถ้าคนส่วนใหญ่ดันไปทางไหนเงินใน 3% มันก็จะมาประมาณนั้นพอดีกัน แต่โดยหลักการคือเงินจะเคลื่อนไปในทางที่คน 3% นั้นกำไรตลอด Warren buffetก็ใช้แนวนี้แต่ว่าจะเล่นแต่หน้าซื้อเท่านั้น

ถ้าเรากลัวเราไม่อยากซื้อฝืนใจซื้อเรารอได้อันนี้ถูก แต่ถ้าชัดมากๆก็ไม่ควรซื้อ ภาพที่มองจะต้องชัดแล้วนิ่งเพียงพอ คุณวิชัยไม่ได้มองว่ามีเงินต่างชาติจะเข้ามาหรือไม่เข้ามาเพราะที่จริงมองไปก็ไม่เกิดประโยชน์การมองnet buy net sell ไม่ช่วย ไม่ใช่มองที่คนวิเคราะห์ว่าวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไปทางไหน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนส่วนน้อยกำไรถึงแม้จะไม่ใช่เหตุผลที่ถูกก็ตาม ระบบเล่นกับข้อเท็จจริงที่อัดแน่น ถ้าไม่ได้ลดพอทไปแล้วในช่วงแรก ในช่วงตลาดSideway เวลานี้ คุณพิชัยมองว่าให้รอดูอย่างเดียว

วิธีการมองแบบกราฟซ้อนกราฟ อันแรกคือเข้าไปซื้อในจุดที่กราฟ Cut loss ส่วนการที่เราซื้อแท่งแรกที่เบรคเขียว ทุกคนก็มองเห็นแบบนั้นเช่นกัน คุณพิชัยมองว่าเราควรหาแท่งเขียวขี้เบลอคือทุกคนมองว่าเดี๋ยวก็ลงต่อ แท่งเขียวที่ชัดแล้ววิ่ง มันจะต้องมาจากแท่งเขียวขี้ชัดจากไม่ชัดเช่นมีการหลอกมาแล้วหลายครั้งนั้นเอง พอเราโดนหลอกหลายครั้งเราจะเข็ดกับความชัดของมัน แล้วมันก็จะไป เราต้องมองความคิดของคนแบบเชื่อมโยงกันถ้าเราคิดว่าอะไรไม่เคยเกิดแล้วเข้าไปลงทุนแบบไม่มีลิมิตมีคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นการลงทุนที่ดีและปลอดภัยอย่างเช่นช่วง subprime ในUSA หรือเป็นช่วงวิกฤตต้มยํากุ้งปี 40 ก็ไม่มีใครเชื่อว่าค่าเงินบาทจะต้องถูกลอยตัว เขาเรียกว่ามันง่ายและไม่มีความเสี่ยงจึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนอย่างเดียวกันทั้งหมด มันขาดความเฉลียวใจ

คุณพิชัยมองว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนรอบใหญ่เทคโนโลยีอาจจะทำให้เงินเปลี่ยนไปทั้งหมดเลยก็ได้ คุณพิชัยให้เวลาดู 3 ปีแล้วตอนนี้เองก็เป็นเหตุผลเดียวดอลล่าจะต้องแข็งค่ามาก ส่วนเรื่อง comoodityกับเงินเฟ้อจะไม่ลงง่ายๆนับจากนี้ เราต้องรู้จักตัวเองให้ได้ไม่งั้นเราก็ไม่รู้จักคนอื่นจะมองสิ่งรอบตัวได้ไม่ถูกต้องเหมือนกระบอกไฟฉายที่วางเอียงตัวกระบอกไฟฉายเองก็จะเห็นลำแสงเป็นเส้นตรง

เรื่องหุ้นก็จะเย็นออกด้านข้างให้เราดูกันต่อไปภาพระยะยาวด้านบวกของหุ้นมีมากกว่าด้านลบ คุณพิชัยหวังว่าจะไม่เกิดภาพที่ดีมากจนเกินไปในปีนี้ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นนั้นจบขาลงได้เร็ว คุณพิชัยมองว่าตลาดHKเป็นตลาดที่น่ากังวลที่สุด หุ้นเล็กรายตัวยังไปได้ระบบผลประโยชน์ตอนนี้ก็มีคนน่าจะรู้มากขึ้นแต่มันไม่ใช่แบบนั้นทุกอย่างจะเกิดในสิ่งที่ไม่เคยเกิดเสมอเราไม่ต้องเดาแต่เฝ้าดูไปจากคนที่วิเคราะห์ หลักการนั้นมันไม่ยากมันอยู่ที่การตีความ ต้องพยายามมองให้กว้างเผื่อไว้ เพราะมันจะต้องมีการคาดเคลื่อนเสมอ 10 20% เป็นเรื่องธรรมดา หุ้นบางประเภทเหวี่ยงแรงแต่เวลาขึ้นก็ขึ้นแรงเหมือนกัน

เลือกหุ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น

เรื่องอัตราดอกเบี้ยถามว่ามีผลกับการลงทุนใหม่ต้องตอบว่ามี ถ้าเป็นนักลงทุนแนว vi จะเจอในเรื่องของการเงิน หรือ Income statement งบที่ง่ายที่สุดก็คืองบกำไรขาดทุน ดังนั้นในงบกำไรขาดทุนหากดอกเบี้ยขึ้นมันก็จะเป็นผลลบอย่างแน่นอนเพราะมันมีค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง มันคือต้นทุนทำธุรกิจ แต่ในอีกมุมนึงหากเรามานั่งคิดก็จะเจอว่ามีธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็คือธุรกิจธนาคารนั่นเอง แล้วในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าหากดอกเบี้ยสูงขึ้นการกู้ก็ย่อมยากขึ้น

ส่วนในมุมของหุ้นนั้นจะมีเรื่องในเชิงของการทำ Valuation โดยเฉพาะในการทำ dcf คือเราซื้อกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัท ดังนั้นหุ้นที่เรามองอนาคตไปไกลๆเช่นบริษัทเทคโนโลยีที่เงินสดหรือกำไรยังมาไม่เยอะแต่มีดอกเบี้ยจ่ายในอนาคตด้วยทำให้ดอกเบี้ยขึ้นจึงเป็นผลลบต่อกลุ่มนี้ ในอนาคตราคาจึงลดลงมา กองรีทก็เช่นกันเพราะมีต้นทุนเป้นดอกเบี้ยทำให้ได้เงินปันผลลดลง

อเมริกาตอนนี้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากไม่สามารถที่จะลดดอกเบี้ยและอาจqeได้อีกแล้ว ปี 65 น่าจะเป็นปีที่ลดดอกเบี้ยได้แล้ว ซึ่งดอกเบี้ยของอเมริกาอยู่ต่ำมาหลายปีแล้ว ในช่วง 2018 เฟสได้ขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้งบวกกับปัจจัยภายนอกก็คือ Trade War ตลาดหุ้นก็ได้ปรับลงทั่วโลก ซึ่งมันบ่งบอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยนั้นกระทบตลาดแน่นอนแต่รอบที่แล้วกับรอบนี้ก็อาจจะไม่เหมือนกันเพราะว่ารอบนี้ตลาดได้รับรู้ไปก่อนแล้วว่าจะขึ้นเยอะ นักลงทุนมีการคาดหมายเอาไว้เยอะแล้ว ตลาดก็อาจจะไม่ตกใจมากเพราะว่าได้รับรู้ไปแล้วส่วนหนึ่ง

คุณนิ้วโป้งว่าตอนนี้ตลาดกำลังเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ส่งประเทศที่พัฒนาแล้วเขาฟื้นก่อนเราทำให้เงินเฟ้อตอนนี้ต้องเร่งสกัด เฃินต่างชาติไม่ได้ไหลเข้าบ้านเรามา 7-8 ปีแล้วซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เข้ามาค่อนข้างเยอะในช่วงต้น จะเป็นหุ้นตัวใหญ่ เช่นพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีกเป็นต้น ต่างชาติซื้อสามัญประจำประเทศ พลังงานอาจจะมีปัจจัยภายนอกเกี่ยวข้องบ้าง ค้าปลีกบางตัวเริ่มมาเงินจะค่อยๆหมุนไป ส่วน aot ก็ยังมองว่าปัจจัยพื้นฐานยังไม่ค่อยได้ในเชิงการประเมินมูลค่า

มุมมองของกองทุนที่ขายในช่วงครึ่งเดือนแรกของปีนี้คุณนิ้วโป้งมองว่าเป็นการขายเพื่อรองรับ ltf ที่ไถ่ถอน เราจะเห็นว่าที่ผ่านมากองทุนไม่ค่อยออกกองในประเทศไทยเลย จะไปออกต่างประเทศเป็นหลักดังนั้นหากกองทุนเห็นว่าประเทศไทยนั้นดีขึ้น ก็จะเริ่มเปิดกองมากขึ้นและเงินจากส่วนนี้ก็จะดันดัชนีต่อไป เหมือนปี 2012-2013 ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปมาก

คุณนิ้วโป้งพูดว่าดีใจที่เห็นต่างชาติกับเข้ามาซื้อเพราะว่าเราอาจจะยังไม่ตกแผนที่ของการลงทุนเป็นไปได้ไหมที่ต่างชาติจะซื้อก่อนแล้วหลังจากแรงซื้อแผ่นกองทุนจะตามกลับเข้ามา ต่างชาติโดยส่วนใหญ่เวลาเข้าซื้อเขาจะเข้าซื้อตาม policy อย่างเช่นปีที่แล้ว Global policy บอกว่าให้มีหุ้นเอเชียอยู่จำนวนหนึ่งแต่การที่เขาไม่ได้เข้าจีนหุ้นอินเดียจึงขึ้นเป็นอย่างมากแต่ถ้า policy ให้ออกไม่ว่าหุ้นจะถูกยังไงเขาก็จะออก เช่นธนาคารรอบที่ผ่านมาแม้ว่า Price per Book จะอยู่ที่ 0.5 เขาก็ขาย เราต้องไม่ลืมว่าเราโดนล็อคดาวน์โควิดไปนานทำให้กำไรเก่าอาจจะไม่แฟร์เราต้องดูล่วงหน้า

คุณนิ้วโป่งให้แนวคิดขั้นตอนการลงทุนหลังโควิตดังนี้1 หุ้นต้องตาม Mega เทรน2 อยู่ในอุตสาหกรรมขาขึ้น3 กิจการมีคุณภาพที่ดี เช่นกิจการยังขยายอยู่ ผู้บริหารมีความสามารถ มีการออกNew product New Service ขยายสาขา4 งบการเงิน5 การวัดมูลค่าหุ้นถูกแพง

นับจากนี้หุ้นจะเป็น Selective Buy มากขึ้นคือมองจาก Bottom up Selective Buy เราจะไม่ซื้อหุ้นทั้งอุตสาหกรรมเราจะซื้อบางตัว เช่น เรามองว่าโรงแรมจะกลับมาดีแต่เราก็ต้องเลือกโรงแรมที่งบการเงินดีไม่ใช่ซื้อทุกตัวได้ พยายามซื้อตัวที่ไม่แพงหรือ อีกอย่าง คือ in Organic Event ในรอบที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีหุ้นประเภทนี้เยอะมาก เช่นมี infrastructure ใหม่ SCBX เป็นต้น โดยการใส่ IDEA เข้าไปราคาก็แซงได้ในทุกแบงค์ โดยที่ไม่ต้องรอฟันโฟลเลย หรือมีการควบรวมก็ได้ Unlock Value นักลงทุนจะไม่รู้เลยถ้าไม่ได้ตาม ราคาจะไปก่อนโดยไม่ต้องประเมินมูลค่าเลยคุณนิ้วโป้งแนะนำให้ลองดูEarning yield Gap = Earning- Bond yield (10Y)

โดยการเอาPE เป็นส่วนกลับ เช่นตลาดหุ้นไทยมี PE 20 เท่าดังนั้นโสดกับเท่ากับ 1 ต่อ 20 คือ 0.5 หรือ 5% นั่นเอง แล้วนำมาลบด้วยbond Y10 ปีของประเทศไทยโดยหาข้อมูลจาก CNBC เป็นต้นจากข้อมูลคือ 2% ดังนั้นลบกันคือ 3 เปอร์เซ็นต์คือผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยที่สำคัญ PE ของไทยเป็นพี่ย้อนหลังไม่ใช่PEอนาคต ดังนั้นผู้ที่ดูแพงจะกลายเป็นดูไม่แพงข้อดีคือประเทศไทยไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยีแต่จะเป็นหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยวเยอะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดนี้นับจากนี้ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นก็ตาม และหลายบริษัทในช่วงที่โควิดระบาดก็ได้ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรลดต้นทุนกันไปได้แล้วพอสมควร มีการทำให้ต้นทุนตัวเองดีขึ้นดังนั้นบริษัทพรุ่งนี้หลัง covid จะอยู่บนต้นทุนแบบใหม่ เป็นการประหยัดต้นทุนแบบถาวร

หลักการของ vi ในการซื้อก็คือ GOOD STOCK AT GOOD PRICE

1.เติบโต

2.แข็งแกร่ง

3.ราคาถูกไม่ว่าดัชนีจะสูงแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หาได้คือลงทุนได้

ในทางตรงกันข้ามหากดัชนีลงมามาก แต่เราหาหุ้นGOOD STOCK AT GOOD PRICE ไม่ได้เลยเราก็จะซื้อหุ้นไม่ได้ เราก็จะถือเงินสดเวลาเราซื้อหุ้นเติบโตแข็งแกร่งไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ของหุ้นไทยจะมาเป็นข้อ 2 กับ 3 ก่อน

ส่วนการขาย 1 ขายเมื่อราคาแพง 2 ขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน 3 ขายเมื่อเจอตัวใหม่ที่ดีกว่า.คุณนิวโป้งมองว่าคุณโป้งจะเลือก Theme recoveryธนาคาร ขนส่งทางราง สื่อนอกบ้าน สถานีบริการน้ำมัน ค้าปลีก เช่น aot อาจจะเป็นGOOD STOCK แต่อาจจะไม่ GOOD PRICE ก็ได้เพระาราคาได้ขึ้นมาเยอะเมื่อเทียบกับอนาคต 1-2 ปี

คุณนิ้วโป้งให้ลองจินตนาการว่าหากปีนี้เป็นปี End เกมของ covid จริงๆเราต้องไม่ลืมว่าแม้กระทั่งเราเองหรือประเทศคู่ค้าของเราตอนนี้ก็ยังปิดประเทศอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากปลายปีนี้จีนประกาศเปิดประเทศขึ้นมา ให้นักท่องเที่ยวออกมาเที่ยวได้ ใครน่าจะได้ประโยชน์ นักธุรกิจพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักมีความพร้อม ในต่างประเทศเองเช่นยุโรปเงินเฟ้อมาทำให้ที่ดินเขาก็ขึ้นมากดังนั้นประเทศไทยพวกนิคมต่างๆมีของเก่าเป็นจำนวนมากจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ จะถามว่าสร้างใหม่ได้ไหมใช่สร้างใหม่ได้แต่ทั้งต้นทุนและเวลานั้นสูงขึ้น

พี่นิ้วโป้งแนะนำว่าหุ้นที่ควรออกจากพอร์ตคือหุ้นที่แพงเกินไป แต่พี่นิ้วโป้งบอกว่าพี่โป้งจะซื้อแต่Good Stockเสมอ ดังนั้น เราจะขายเพราะไม่ Good Price นั้นเอง ให้มองว่าบ้านเรายังไม่เกิด Event ของการท่องเที่ยวได้เลยเมื่อเทียบกับต่างประเทศเขาเกิดไปหมดแล้วดังนั้นหลังจากนี้หากวันนึงทุกอย่างเปิดขึ้นมาเราจะจินตนาการแทบไม่ออกเลยว่ามันจะได้ประโยชน์เยอะขนาดไหน อยากให้นักลงทุนมีความหวัง ถ้าเรามีภาพอย่างนั้นในใจเราจะมองว่ามีผู้ลงทุนได้อีกมากมาย


พี่นิ้วโป้งมองว่าหุ่นที่ดี จะสร้างผลกำไรให้ในระยะยาวดังนั้นปัจจัยลบต่างๆให้มองว่าเป็นโอกาสในการหาหุ้นที่มีทั้งคุณภาพดีและราคาดีไปด้วยกัน นั้นเอง

เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว โดย เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์

[ เซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ] ได้เล่าประสบการผ่าร้อนผ่านหนาว กว่าจะมาเป็นนักลงทุนที่ประสอบความสำเร็จให้เราฟังครับ

เริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 5 ล้านช่วงนั้นโดนรับน้องตลาดลงแรงเพราะ ซับไพร์ม ครั้งสุดท้ายดูพอร์ตมันมันลงไปมากกว่าครึ่งล้าน 2 ล้านกว่าๆประมาณนี้นะครับ ภรรยาก็รู้ทุกคนมันก็เริ่มออกข่าวใหญ่ ทุกคนพูดกันจะเลิกไหมทำไมถึงไม่เลิกมันก็พิสูจน์แล้วนี่ว่าเราทำไม่ได้เห็นไหมล่ะก็ให้ลองแล้วไม่ใช่ว่าไม่ให้ลอง

” แฟนถามแล้วลูกจะเรียนต่อยังไงเคยคิดถึงอนาคตลูกไหม” ถ้าเราเล่นอย่างนี้แล้วมันลงไปเรื่อยๆจนเหลือศูนย์อ่ะจะทำยังไง

ความเชื่อมั่นในตอนแรกที่เล่น มันขึ้นไปเกินกว่าความรู้เยอะมามันงงแล้วมันสับสนแล้วก็คิดว่าจะล้างพอร์ตแล้วเลิกเลยจะเหลือเงิน 6 ล้าน 7 ล้านก็ช่างมันเถอะก็ถือว่าพลาด

โชดดีตอนั้นมีถ่ายทอด Opp day สามารถอัพเดข้อมูลบริษัทได้ที่ตลาดหลักทรัพย์ผมก็ไปเลยครับ

## เจอพี่หลายท่านเก่งๆน พี่ธีรนาถโชควัฒนา เจอพี่เกียรติ กาละมัง แล้วก็คุยกันคุยแลกเปลี่ยนมุมมอง ผมก็ถามพี่ว่าอย่างนี้น่ากลัวไหม? พี่ พีตอบว่า อย่างนี้เรียกว่าวิกฤตเศรษฐกิจอันนี้คือโอกาสด้วยนะโอกาส พี่เขากลัวตัวสั่นเลยนะผมอยากซื้อจนตัวสั่นเลย แต่ผมหมดแล้วเงินหมดซื้อหมดแล้วผมมี margin ครบแล้ว

พอเราได้ฟังเล่าเกิดความรู้ขึ้น พาแฟนไปนั่งฟังบ้าง แฟนตัดสินใจลองดูให้เงินมาอีก 5 ล้านซื้อเพิ่ม

จากนั้นเราก็ถามจากคนเก่งมาตลอด เช่น คุณ Yoyo ก็เป็นท่านนึงที่สอนผม ผมเคยอ่านเคยอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่าคนที่เก่งเกรดa มักจะคบกันคุยกัน หรือคบคนเกด a+ แต่คนเกรดบี มันจะคบกับคนเกรดซี และคนเกรดดี มันคบลดระดับลงไปเรื่อยๆเพราะอะไรเพราะสองคนกลุ่มนี้มันมีความคิดไม่เหมือนกันคนเกรด a เนี่ยเขาคิดว่าเขาจะเจริญเติบโตก้าวหน้าทางความคิดเนี่ยเขาจะเลือกคบคนที่เก่งกว่าเขา

หลังจากปีนังไปในปีถัดมาผมบวก 300% !! คือเกินกว่าที่เสียไปทั้งหมดแล้ว แฟนบอกว่าเลิกเถอะ หรือเอาเงินต้นออกก็ยังดี ความคิดของเราคือเอาไงดี ไปต่อหรือ พอแค่นี้ สรุปคือไปต่อเพราะ คิดว่ารอบนี้ลูกเราจะเปลี่ยนชีวิตลูกเราจะได้เรียนเมืองนอกมันจะได้ไม่โง่เหมือนเราพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง

จากนั้นเจอวิกฤตอีกครั้ง กรุงเทพฯและปริมณฑลประสบภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนและน้ำท่วมครั้งนี้ก็ถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯปี 2485 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและมีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.44 ล้านล้านบาทมีประชาชนได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งนี้ถึง 12.8 ล้านคนส่งผลให้ GDP ประเทศไทยในปี 2554 เติบโตขึ้นเพียง 0.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ตอนนี้รับมือได้นะครับเพราะว่าเรารู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้เดี๋ยวก็กลับมา หุ้นที่ถือไว้ดันถือหุ้นอสังหาลงเยอะมากมีตัวนึงแล้วกะว่าจะเป็นตัวกับพระเอกคือวันเลยตัวนี้ต้องพลิกชีวิต ทำความเดือดร้อนให้เพื่อนๆเยอะเพราะเราเที่ยวไปเชียร์ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนนั้นขายไม่ได้เพราะซื้อไปเยอะ bid offer ไม่พอถ้่ขายมีหวังลงไปเยอะแน่ๆ ตอนนั้นทุน 30 สตางค์ ราคาลดลงกว่า 30% ก็ได้แต่คิดว่า ถือไปเดี๋ยวก็กลับมา เพราะ เรามั่นใจในธุรกิจ backlog บริษัท ก็ยังดี เราถือ warrant อายุ 5 ปีก็น่าจะไหวอยู่ ตอนนั้นข่าวร้ายก็มาเยอะนะ เขาถึงขนาดบอกว่าปีหน้าเดี๋ยวน้ำก็ท่วมอีก บริษัทที่มีที่ดินเยอะ มีโครงการเยอะ แย่แน่นอน สุดท้านพอไปเช็คกับบริษัท ปรากฎว่าแก้ปัญหาด้วยการถมที่ให้สูงขึ้น และพฤติกรรมลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู้เพราะ ญาติพี่น้องอยู่แถวนั้น แค่ปี 1 ปีมันกลับมาทำไร 1 เท่า มันขึ้นมา 60 สตางค์

หลังจากน้ำท่วมผ่านไป Port ผมโตน้องนะ ปีละ 7% บ้าง ลบ 3% บ้าง + 5% อะไรประมาณนี้เพราะผมยังเล่น playbook แบบเดิม(หาหุ้น PE ต่ำ ) แต่ตลาดเล่นหุ้น Growth เราก็งงเลยทีนี้ เราก็ลองไปศึกษาจริงๆ ดู พบว่าจริงๆ แล้วเล่นได้นะ เพราะ ถ้าหุ้นตัวนั้น PE สูงแต่สร้างการเติบโตได้มากกว่าและต่อเนื่องหลายปี PE จะลดลงนั้นเอง เช่น PE 100 ถ้าโตปีละ 50% ติดกัน 5 ปี PE จะเหลือ 10กว่าเท่าครับ คนก็เลยให้มูลค่านั้นเอง และถ้าธุรกิจนั้น มี 2 ปัจจัยนี้จะดีมาก ปัจจัยนั้นคือ 1.สามารถเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ 2.ขยายสเกลธุรกิจได้ นักลงทุนจะให้คุณค่ามาก

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์นะครับ สุดท้ายพี่มี่ ยังเน้นเรื่องการลงทุนให้มีความสุขด้วยนะ มีเงินมากเท่าไรแต่ถ้าเราเครียด จนป่วยก็นั้นเท่ากับว่าเราผิดทางแล้ว ไม่คุ้ม

ขอคุณคลิปดีๆ จาก ลงทุนแมน นะครับ

ดอกเบี้ยพันธบัตร 10 และ 2 ปีแคบลง สัญญาณเศรษฐกิจถดถอยจะมาแล้วหรือ?

ช่วงเดือนนี้มีสัญญาณที่น่าสนใจ คือส่วนต่างดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 กับดอกเบี้ยพันธบัตรระยะ 2 ปี หดแคบลงเรื่อยๆ ในอดีตที่ผ่าน ถ้าส่วนต่างหดแคบลงจน ดอกเบี้ยพันธ์บัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาวเมื่อไร จากนั้น 1-2 ปีมักจะเกิดวิกฤติเศษรษฐกิจทุกครั้งไป มาดูกันครับว่ารอบนี้เป็นอย่างไรและตลาดจะเป็นแบบไหน

หลังจากภาวะโรคระบาด COVID ในปีได้ทำให้เศรษฐกิจชะงักงันไปหมด คนตกงานมากมาย โรงงานผลิตไม่ได้ ร้านค้าไม่ได้ค้าขาย ทำให้ธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐต้องเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการอัดเงินผ่านนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังอย่างหนักหน่วง ทั้งการทำ QE การให้เงินช่วยเหลือประชาชนผ่านนโยบายต่างๆ.ทำให้เมื่อ covid คลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบเด้งแรง ความต้องการซื้อกลับมาอย่างรวดเร็วดั่งภายุโหม ออเดอร์ทะลักโรงงานเริ่มกลับมาผลิตแทบไม่ทัน ส่งผลให้เกิด supply shock แบบไม่คาดคิด ราคา commodity พลังงาน ค่าระวางเรือพุ่งเป็นพลุ ดัชนีราคาผู้ผลิตพุ่งกระฉูด

ผ่านมาไม่นานก็เริ่มอิ่มตัว PMI เริ่มลดลง การจ้างงานเริ่มกลับมา เศรษฐกิจกลับมาและมาพร้อมกับเงินเฟ้อพุ่งทะยาน ธนาคารกลางเริ่มคิดที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟื้อ และลดการทำ QE ลง จุดนี้ทำให้กระทบตลาดหุ้นอย่างมาโดยเฉพาะหุ้นเติบโต เริ่มโดนเทแบบไม่เหลือเยี่อไย จากสถิติตั้งแต่ 1950-2020 ธนาคารกลางมักจะขึ้นดอกเบี้ยช่วงเศรษฐกิจอิ่มตัว และตลาดหุ้นจะผันผวนมากขึ้น และราคาหุ้นมักจะลดลงก่อนการขึ้นดอกเบี้ย แต่หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ยราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น

ในตลาดพันธบัตรเริ่มส่งสัญญาณ โดยขายพันธบัตรระยะสั้นและมาพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นสูงกว่าระยะยาว (ปกติราคาพันธบัตรจะสวนทางกับดอกเบี้ย ถ้าขายพันธบัตรมาราคาตลาดลดลงดอกเบี้ยตลาดจะสูงขึ้น)

สิ่งที่ต้องระวังคือจากนี้เราต้องคอยตามตัวเลขด้านการผลิต และการบริโภคว่าจะเริ่มอิ่มตัวเมื่อไร และฟองสบู่จุดไหนกำลังมาเราจะได้หนีทัน สำหรับปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณเงินไหลเข้ากลุ่มหุ้น Value มากขึ้นเพราะราคายังขึ้นมาไม่มากน่าจะเป็นหลุบหลบภัยที่ดี โดยเฉพาะหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และพลังงานที่ขึ้นมาตามราคาน้ำมันที่เพิ่ม

แต่นักวิเคราะห์หลายสำนักยังมองว่าดอกเบี้ยไทยยังไม่น่าจะขึ้นเร็วๆนี้เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มา อาจได้เห็นสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยประมาณปีหน้าแทน

สรุปว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าจุดอิ่มตัว หุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้นไม่ได้เล่นง่ายๆ เมือนปีก่อนต้องเลือกรายตัวมากขึ้น เศรษฐกิจน่าจะยังไม่ตกเร็วนี้แต่ให้เพิ่มความระมัดระวัง

………………………………………………………

📌สนใจเครื่องมือ วิเคราะห์กองทุนแบบมืออาชีพ และ ห้อง line ปรึกษาแก้พอร์ทแบบ VIP สอบถามรายละเอียดได้ที่ add line https://lin.ee/NG76Kil

หรือกดINBOX มาได้เลยครับ

ไอเดียการลงทุนหลัง FED ลังเลขึ้นดอกเบี้ย

ไอเดียการลงทุนหลัง FED ลังเลขึ้นดอกเบี้ย.หลังจากการประชุม FED นัดสำคัญเมื่อ วันพุธ ที่ 26/1/2021 ซึ่งเป็นนัดที่เหล่านักลงทุนสนใจ เพราะ ก่อนการประชุม ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกผันผวนมาก

DJI – 8.9% , S&P500 – 11.7% , DAX – 7.4% , GOLD – 0.61% BTC -24.32% , WTI + 9% SET – 3.67 % .นักลงทุนในตลาดต่างจับตามองเป็นอย่างแพร่หลาย เฝ้ารอว่า ประธาน FED สร้างความชัดเจนให้ตลาด แต่กลับกลายเป็นทำให้ตลาดสับสนไปกว่าเดิม

อาทิตย์หน้าตลาดจะฟื้นไหม ? FED ไม่ฟันเราฟันให้ ไปอ่านกันเลยครับ

ประเด็นที่น่าสนใจ

🔥ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)วันที่ 26-27 มค 2565 เป็นไปตามคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ 5 ครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค.นี้ 2 ครั้งรวม 0.50% ขณะเดียวกัน ประธานเฟดเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับการปรับลดงบดุล

🔥Fund flow ทั่วโลกกำลังปรับทัพการลงทุนใหม่ให้สอดคล้องกับนโยบายการของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากภาพด้านล่าง ( ขอบคุณข้อมูลจาก www.goinvest.in.th) เราจะเห็นถึงกระแสเงินไหลเข้าไปยัง สินทัพย์ปลอดภัย และ กลุ่มสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อได้ เช่น Money market , Commodities , Government Bond

🔥ปัจจุบันตลาดเริ่มเห็นมีสัญญาณฟื้นตัวบ้างๆ ในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ล่าเมื่อดูสัญญาณการกลับตัวของตลาด เราเริ่มเห็นการรีบาวด์ ในตลาดหุ้นหลายๆ ตลาด เช่น DJI สามารถปิดเขียว + 1.65% NDQ + 3.22% S$P550 + 2.44% Nikkei225 +2.09%

🔥 ด้าน กองทุน protect inflation ยอดนิยมในตลาด ยังเป็นทิศทางขาขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังคงเชื่อว่าเงินเฟ้อระดับสูงยังคงสร้างความกังวลให้นักลงทุนต่อไป แต่ในระยะสั้นๆเริ่มลดความร้อนแรงลงมาได้บ้าง

Invesco Bloomberg Commodity UCITS ETF +1.25%

Xtrackers MSCI World Financials UCITS ETF -0.11%

Tabula US Enhanced Infla UCITS ETF USD +0.56%

iShares Physical Gold ETC -0.39%

iShares UK Property UCITS ETF – 0.56%

🔥ดัชนีความกลัว VIX index เริ่มมีสัญญาณ อ่อนแรงลงมาบ้าง ก็น่าจะทำให้ภาพรวมตลาดกลับมาใช้เหตุผลกันมากขึ้น และ หาฐานเจอในช่วงสั้นๆ ตรงนี้ก่อน

🔥ประเด็นการลงทุน คาดว่าตลาดจะเริ่มผันผวนน้อยลง เพราะ ตลาดรับรู้ประเด็น การปรับขึ้นดอกเบี้ยไปหมดแล้ว และ ถ้าไม่มีประเด็นลบกว่านี้ตลาดก็น่าจะฟื้นตัวได้ แต่ยังคงไปไหนไม่ไกล ปัจจัยเป็นลบเพิ่มเติมที่อาจจะทำให้สมุติฐานนี้ผิดไป ก็คือ ประเด็นความขัดแยงกันระหว่าง รัสเซีย และ ยูเคน เราคงต้องเฝ้าพัฒนาการประเด็นนี้กันต่อไป

เรายังคงเน้นลงทุนในกลุ่มที่สามารถลงทุนได้ตามธีมหลัก คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ เช่น ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โดยเน้นไปยังหุ้นที่ PE และ PBV ต่ำๆ ไว้ก่อน

ภาพด้านล่างจะเล่นหุ้นในกลุ่มที่เข้าธีมการลงทุนดังกล่าว เพื่อนๆสามารถนำมาทำการบ้านกันต่อได้ครับ

การเติบโตและความสำคัญของ Cybersecurity.Credit

Credit Suisse มีการคาดการณ์ว่าในปี 2019 ขนาดตลาดอยู่ที่ 1.6 แสนล้านเหรียญ และจะเติบโตแบบ CAGR ที่ 16% และจะมีขนาดถึง 4 แสนกว่าล้านเหรียญ ในปี 2026

International Data Corporation ได้มีการประมาณการว่า งบประมาณเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์จะเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันเรื่องชื่อเสียง และความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งการจัดสรรงบเหล่านี้ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้เนื่องจากมีความสำคัญ.งบประมาณทางด้าน IT เติบโตประมาณ 6-7% ในขณะที่งบในส่วนของ #Cybersecurity จะมีสัดส่วนถึง 5-6% จากงบ IT

ในเดือนมีนาคม 2021 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้จัดสรรงบประมาณในส่วนของ Cybersecurity ไว้อย่างน้อย 1.65 พันล้านเหรียญ ให้หน่วยงานและกองทุนของรัฐ แต่หลังจากโดนการจู่โจมทางไซเบอร์ใน Colonial Pipeline (การแฮกท่อส่งน้ำมัน) ทาง โจ ไบเดน เลยไม่รอช้า เพิ่มงบประมาณในส่วนนี้อีกหลายพันล้านเหรียญ (อยู่ในระหว่างการพิจารณา) เพื่อปรับปรุงระบบ Cybersecurity ตอกย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญที่เพิ่มขึ้น

สำหรับกองทุน Cybersecurity เรายกตัวอย่างมา 2 กอง

1.LHCYBER

ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Global X Cybersecurity ETF (“กองทุนหลัก”)ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

Global X Cybersecurity ETFลงทุนในบริษัทที่ดำเนินการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

สัดส่วนหุ้นที่ลงทุน 5 อันดับแรก คือ

1.1) Palo Alto Networks Inc 7.07%

เป็นผู้นำทางด้าน Network Security ด้านการป้องกันการคุกคามทาง Cyber มีการพัฒนา Next Generation Firewall.

1.2) Zscaler Inc 6.67%

เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูลบนระบบคลาวด์

1.3) Fortinet Inc 6.27%

พัฒนาและจำหน่ายโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น ฟิสิคัลไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ระบบป้องกันการบุกรุก

1.4) Check Point Software Technologies Ltd 6.13%

เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน-อิสราเอล และรวมผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับการรักษาความปลอดภัยด้านไอที รวมถึงการรักษาความปลอดภัยเครือข่าย การรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ปลายทาง

1.5) Okta Inc 5.37%

บริษัทจัดการข้อมูลประจำตัวและการเข้าถึงที่มีการซื้อขายในสาธารณะ ให้บริการซอฟต์แวร์ระบบคลาวด์ที่ช่วยให้บริษัทจัดการและรักษาความปลอดภัยการตรวจสอบผู้ใช้ในแอปพลิเคชัน

2.WE-GSECURE

กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ CS Investment Funds 2-Credit Suisse (Lux) Security Equity Fund (กองทุนหลัก) Class IB เพียงกองทุนเดียว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

credit suisse global security equity fundเน้นลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรมที่เสนอผลิตภัณฑ์และบริการในด้าน ความปลอดภัยด้านไอที การป้องกัน การป้องกันอาชญากรรมทั่วโลก

สัดส่วน หุ้นที่ลงทุน 5 อันดับแรก คือ

2.1) Thermo Fisher Scientific 3.49 %เป็นผู้จัดหาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ รีเอเจนต์และวัสดุสิ้นเปลือง และบริการซอฟต์แวร์ของอเมริกา

2.2) Fortinet Inc 3.20 %พัฒนาและจำหน่ายโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น ฟิสิคัลไฟร์วอลล์ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส ระบบป้องกันการบุกรุก

2.3) Zscaler Inc 3.2%เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยข้อมูลบนระบบคลาวด์

2.4) IDEXX Laboratories 3.01%เป็นบริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับสัตวแพทย์ ปศุสัตว์และสัตว์ปีก การทดสอบน้ำ และตลาดผลิตภัณฑ์นม

2.5) Mettler-Toledo International 2.86%เป็นผู้ผลิตเครื่องชั่งและเครื่องมือวิเคราะห์ข้ามชาติ เป็นผู้ให้บริการเครื่องมือชั่งน้ำหนักรายใหญ่ที่สุดสำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการ อุตสาหกรรม และการขายปลีกอาหาร

GOinvest VIP Club ระบบสมาชิกรายปีของ GOinvest

**เนื้อหาจะเน้น กองทุนทั่วโลก ส่องเทรนด์ที่น่าสนใจ สามารถนำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจ**

🚀 บทความเจาะลึกกองทุน(กองทุนติดดาว) มีอะไรน่าสนใจ มาเล่าสู่กันฟัง

🚀 อัพเดทข้อมูลจากบทวิเคราะห์กองทุนจากต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางมองหาธีมลงทุน

🚀อัพเดทสถานการณ์การลงทุนแบบเข้าใจง่ายและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

🤖 อัพเดทจังหวะของกองทุน ในลักษณะของtechnical port + พร้อมเครื่องมือที่สามารถบอกเทรนด์ได้

🤖 พร้อมทั้งมีเครื่องมือให้ตั้งเตือนเองได้ ทำให้ไม่พลาดจังหวะสำคัญในการลงทุน

🗣️ พูดคุยในกลุ่มปิด(VIP) ร่วมแสดงความเห็น มีการสอนความรู้ อัพเดทข่าวต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

***ทั้งหมดนี้ เพียงปีละ 2990 บาท***

ติดต่อสอบถาม LINE : สอบถามรายละเอียดได้ที่

LINE labhoonplus ADD line( https://bit.ly/3tgVS0A )

เกาะกระแส Cloud ไปกับ PRINCIPAL GCLOUD-A และ TCLOUD

Cloud computing ถือเป็นคลื่นลูกที่สามของการเปลี่ยนแปลงสู่โลก digital โดยปัจจุบันหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Cloud computing มีสัดส่วนกว่า 15% ในดัชนี S&P500 โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการลูกค้าบน cloud -based software and services ใครอยากใช้บริการก็เข้าไป Subscribe กันไป

ปัจจัยเร่งหนึ่งคือการระบาดของ Covid ทำให้หลายๆองค์กรเข้ามาทำงานโดยใช้ cloud-based workflows มากขึ้น อยู่ไหนก็ทำงานได้ วิเคราะห์จาก YCharts คาดการณ์ว่าจะเติบโตมากกว่า 23% และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ cloud services คาดว่าจะอยู่ที่ $400bn ในปี 2022

แม้หุ้นกลุ่มนี้จะมีการเติบโตที่น่าสนใจ แต่ความเสี่ยงของการลงทุนอยู่ที่ PE ของหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างแพง และในเดือน พฤศจิกายน หุ้นกลุ่ม Tech ทั้งกลุ่มโดนเทก็ถือเป็นจังหวะที่น่าทำการบ้านเพื่อหาหุ้นลงทุนครับ

โดยกองทุนที่เน้นลงทุนใน cloud มีสองกองทุนนี่น่าสนใจคือ PRINCIPAL GCLOUD-A และ TCLOUD ทั้งสองกองเป็นอย่างไรมาดูกันครับผม

กองทุน PRINCIPAL GCLOUD-A ลงทุนในกองแม่คือ WisdomTree Cloud Computing UCITS ETF ลงทุนในบริษัทที่ให้บริการบริการใน CLOUD โดยบริษัทที่ลงทุน 5 อันดับแรกประกอบด้วย 1. New Relic Inc ให้บริการ software ระดับองค์กรบน cloud 2. Cloudflare Inc ให้บริการด้านความปลอดภัยบนเว็บ 3. Snowflake Inc. ให้บริการ cloud data platform provider วิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจได้ง่ายๆ 4. Zscaler, Inc ทำธุรกิจ cloud security platform 5. Mimecast Ltd ทำธุรกิจกิจ cloud security

กองทุน TCLOUD ลงทุนในกองแม่คือ CLOU | Global X Cloud Computing ลงทุนในธุรกิจที่ให้บริการลูกค้าผ่าน cloud เช่นเดียวกัน โดย 5 อันดับแรกในพอร์ทประกอบด้วย 1. Zscaler Inc ทำธุรกิจ cloud security platform 2. Akamai Technologies, Inc ให้บริการการส่ง content ในสื่ออนไลน์ต่างๆ 3. Shopify Inc. (Shopify) ให้บริการร้านค้าออนไลน์ 4. Netflix, Inc. (Netflix) ให้บริการ subscription streaming entertainment ดูกันทั้งวัน 5. Workday, Inc enterprise cloud applications สำหรับการเงินและฝ่ายบุคคลจะเห็นว่า cloud เป็นธุรกิจแห่งอนาคต การลงทุนกับธุรกิจนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ

X